วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ฟอกไม่ขาว : เรื่องสอนใจชายด้วยความตายของหญิง



ฟอกไม่ขาว เป็นบทละครพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เกิดจากจินตนาการของพระองค์เอง มีผู้วิจารณ์ว่าบทละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะของการสร้างโครงเรื่องที่น่าสนใจ ดังที่มีผู้ศึกษาลักษณะโครงเรื่องของบทละครพูดเฉพาะเรื่องที่พระองค์ทรงจินตนาการขึ้นใหม่ โดยนำทฤษฎีโครงเรื่องในบทละครตะวันตกมาวิเคราะห์ จากการ ศึกษาพบว่าบทละครพูดพระราชนิพนธ์ได้เสนอแนวคิดของเรื่องอย่างเด่นชัด มีเหตุผล สมจริง และยังทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจเรื่องได้ง่ายอีกด้วย


บทละครเรื่องนี้กล่าวถึง “จำรัส” หญิงม่ายคนหนึ่งเคยอยู่กินกับนายบุญส่งมาก่อน ต่อมาได้เลิกกันไปเพราะนายบุญส่งทิ้งนางให้อยู่อย่างอดๆอยากๆ ครั้นจะกลับไปอยู่กับพ่อแม่ตามเดิม ก็กลับไม่ได้ เพราะครอบครัวไม่อาจตอบสนองความเป็นอยู่ที่สุขสบายให้แก่นางได้ และนางเองก็ทำผิดไว้มาก เพราะแต่ก่อน นางหนีตามนายบุญส่งมา เมื่อพ่อแม่มาตามให้กลับนางก็ไม่ยอมกลับ และนายบุญส่งก็รับปากกับพ่อและแม่ว่าจะดูแลเป็นอย่างดี เมื่อมาทิ้งขว้างไปนางจึงต้องหาชายคนใหม่เลี้ยงดู แต่ก็ไม่มีใครเลี้ยงดูได้นาน นางอยู่กินกับชายคนแล้วคนเล่า มีหนี้สินพอกพูนขึ้นมากมาย จนกระทั่งได้มาพบกับหลวงพร ผู้ซึ่งคิดจะเลี้ยงดูนางอย่างจริงจัง และนางก็ปวารณาไว้แล้วว่าจะขออยู่กับหลวงพรไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ บังเอิญว่าวันหนึ่งนายบุญส่งมาพบกับนางที่บ้านของหลวงพร ด้วยความสำนึกผิดว่าที่แล้วมาทำไม่ดีไว้มาก จึงอยากจะช่วยปลดหนี้สินให้ แต่จำรัสก็ไม่ยอม จะทยอยใช้หนี้เองจนหมด โดยไม่ขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งจากนายบุญส่งและหลวงพร แต่จะขอให้นายบุญส่งนำเงินไปให้เจ้าหนี้ทั้งหลายแทนนาง หนี้สินต่างๆ จึงเป็นความลับระหว่างจำรัสกับนายบุญส่งเท่านั้น

เรื่องราวเกิดขึ้นในวันที่นายบุญส่งมาคุยกับจำรัสแล้วกำลังจะลากลับ ก่อนจากบุญส่งก็เอื้อมมือไปลูบมือจำรัสเป็นการแสดงความสงสารและเห็นใจนาง หลวงพรมาเห็นเข้าพอดี ก็เข้าใจว่านางหลอกลวง และอยากจะกลับไปมีความสัมพันธ์กับนายบุญส่งอีก จึงบอกกับนายบุญส่งว่าให้ไปรอพบที่ห้องรับแขก จากนั้นหลวงพรก็หันมาด่าว่าจำรัสด้วยความโกรธ หลวงพรประณามว่านางเหมือนกับผ้าที่ฟอกเท่าไรก็ไม่ขาว ทำได้แต่เพียงฉีกทิ้งเท่านั้น แม้ว่าจำรัสจะอ้อนวอนให้ฟังนางอธิบายบ้าง แต่หลวงพรก็ไม่ยอมฟัง ในที่สุดก็ตัดสินใจไล่นางออกจากบ้านไปกับนายบุญส่ง จำรัสเสียใจมาก ได้แต่ร้องไห้วิ่งออกไป นายบุญส่งเดินมาพบพอดี เมื่อทราบเรื่องแล้วได้บอกกับหลวงพรถึงความตั้งใจจริงของจำรัส เมื่อหลวงพรได้ทราบดังนั้น ก็เข้าไปตามจำรัส พบว่านางดื่มยาพิษตายเสียแล้ว


เป็นที่น่าคิดว่าเหตุใดจำรัสเลือกความตายเพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดีของนางที่มีต่อหลวงพร และเหตุใดหลวงพรจึงไม่ยอมเชื่อ อีกทั้งยังไม่ให้โอกาสนางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ จนกระทั่งมาพบในตอนท้ายว่านางได้เลือกความตายเป็นหนทางพิสูจน์ บทละครเรื่องนี้จบลงด้วยฉากที่แสดงถึงการตกใจของชายสองคน รวมทั้งผู้ชมด้วย ความงงงันในตอนจบน่าจะแฝงจุดมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ในลักษณะของการตักเตือนอย่างรุนแรงหรือไม่ คำถามเหล่านี้อาจนำไปคิดและหาคำอธิบายความเป็นเหตุเป็นผลในบทละครเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อยก็เป็นเรื่องที่ชวนให้น่าศึกษาในประเด็นของความเป็นบทละครโศกนาฏกรรม

แต่ถ้าจะกล่าวว่า “ฟอกไม่ขาว” เป็นบทละครโศกนาฏกรรมเพราะจบลงด้วยความหายนะของตัวละครเอกแล้ว ก็อาจจะต้องตั้งคำถามต่อไปอีกว่า “จำรัส” มิได้เป็นตัวละครผู้สูงศักดิ์และมิได้มีข้อบกพร่องในด้านบุคลิกลักษณะนิสัยจนนำไปสู่ความหายนะในตอนจบของเรื่อง ดังนี้แล้วจะจัดว่าเป็นบทละครโศกนาฏกรรมได้หรือไม่ และที่สำคัญบทละครเรื่องนี้แฝงแง่คิดตักเตือนใคร และจะเป็นบทละครโศกนาฏกรรมสอนชายหรือหญิงกันแน่

ตัวละครเอกตาย : ลักษณะเด่นของบทละครโศกนาฏกรรม


บทละครโศกนาฏกรรม (tragedy) มีกำเนิดจาก การร้องเพลงสวดบูชาเทพเจ้า เป็นการร้องสด ต่อมาดัดแปลงเป็นบทโต้ตอบกับกลุ่มคอรัส และพัฒนาเป็นบทสนทนา จนกระทั่งมีการเขียนเป็นบทละคร คือมีลักษณะเป็นละครร้อง ประกอบด้วยเพลงร้อง โดยกลุ่มคอรัส และมีบทสนทนาโต้ตอบของตัวละคร
ละครโศกนาฏกรรมมีลักษณะเด่นอยู่ที่การแสดง(dramatic) ซึ่งเป็นการแสดงของตัวละครที่มีศักดิ์สูงส่ง ส่วนมากเป็นกษัตริย์หรือชนชั้นสูง แต่มีจุดอ่อนหรือมีความผิดพลาดบางอย่างซึ่งสามารถนำไปสู่ความหายนะในตอนท้ายเรื่อง ความผิดพลาดนี้มิใช่เกิดจากการทำผิดศีลธรรมอย่างใด แต่เกิดจากข้อเสียที่เป็นลักษณะนิสัยเช่น ความหยิ่ง หลงตน และนำไปสู่ความตกต่ำของชีวิต การตกต่ำของตัวละคร(tragic flaw) ในตอนจบนี่เองที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการชำระอารมณ์ (catharsis) จากการปลุกเร้าความสงสารและความกลัว(pity & fear) จากการเห็นความหายนะของตัวละครเอก ผู้ชมจะเกิดความกลัวว่าเคราะห์กรรมนั้นจะเกิดขึ้นกับตนเองบ้าง ความกลัวที่เกิดขึ้นบางครั้งทำให้เกิดพุทธิปัญญาขึ้น บทละครโศกนาฏกรรมจึงมีบทบาทในการสั่งสอน เพราะชะตากรรมที่ตัวละครได้รับนั้น เป็นเรื่องที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น หรือไม่น่าคนที่ทำความดี หรือมีชาติกำเนิดที่สูงส่งจะสมควรได้รับความหายนะเช่นนั้น แต่เป็นเรื่องของชะตากรรมที่ถูกกำหนดมาแล้ว อย่างไม่อาจฝืนหรือเปลี่ยนแปลงได้


ในสมัยกรีกนั้น มีขนบนิยมของการแสดงละครโศกนาฏกรรมอยู่ว่า มักจะไม่ให้มีฉากที่แสดงความรุนแรงบนเวที มีตัวละครปรากฏตัวในหนึ่งฉากมีไม่เกินสามตัว และมีกลุ่มคอรัสทำหน้าที่โต้ตอบกับตัวละคร กลุ่มคอรัสนี้ มีบทบาทสำคัญในละครโศกนาฏกรรมสมัยกรีก เพราะนอกจากจะทำหน้าที่ให้ภูมิหลังของเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ยังมีบทบาทในการวิเคราะห์เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปด้วย บางครั้งคอรัสอาจเป็นตัวละครที่มาสนับสนุนหรือขัดแย้งกับความคิดของตัวละคร หรืออาจจะช่วยเน้นอารมณ์และความคิดที่ผู้ประพันธ์ต้องการให้เกิดกับผู้ชมด้วยเช่นกัน


หากนำขนบนิยมของบทละครโศกนาฏกรรมในสมัยกรีกมาพิจารณาบทละครเรื่องฟอกไม่ขาว จะเห็นว่าเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบที่แสดงความเป็นบทละครโศกนาฏกรรม กล่าวคือ โครงเรื่องนั้น นอกจากจะมีความสั้น กระชับใช้เวลาในการแสดงไม่มากแล้ว ยังมีเหตุการณ์สำคัญซึ่งเป็นจุดวิกฤตแค่เหตุการณ์เดียว และนำไปสู่เหตุการณ์ที่เป็นจุดสุดยอด(climax )ของเรื่องในตอนจบเพียงเหตุการณ์เดียวเท่านั้นอีกด้วย เมื่อเขียนเป็นแผนภูมิ จะได้โครงสร้างตามพีระมิดของไฟรทาก (Freytag’s pyramid) ดังนี้

*จุดสุดยอด - จำรัสกินยาตาย
*เหตุการณ์วิกฤต - จำรัสหนีเข้าห้อง-หลวงพรทราบความจริง
*ปัญหาเริ่มขยาย - หลวงพรไล่จำรัสออกจากบ้าน
*การผูกปม – หลวงพรเห็นและเกิดความระแวงจำรัส
*การเปิดเรื่อง - จำรัสสนทนากับบุญส่งถึงหนี้เก่า

จากแผนภูมิ จะเห็นได้ว่าบทละครเรื่องนี้ มีเหตุการณ์สำคัญที่เป็นการขมวดปมเพียง ๔ เหตุการณ์ ได้แก่ ๑. บุญส่งสนทนากับจำรัสเรื่องหนี้เก่า ๒. บุญส่งแสดงการปลอบใจจำรัสหลวงพรมาเห็นและเข้าใจผิด ๓. หลวงพรโกรธและขับไล่จำรัสออกจากบ้าน ๔. จำรัสเสียใจหนีเข้าห้อง และมีเหตุการณ์คลี่คลายปมเพียงเหตุการณ์เดียวในตอนสุดท้าย นั่นคือจำรัสกินยาตาย ซึ่งเป็นตอนจบของเรื่องเช่นกัน นับว่าเป็นโครงเรื่องที่สั้นและกระชับมาก มีเหตุการณ์เล่าเรื่องต่อเนื่องกันไปเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น

หากพิจารณาเรื่องสามเอกภาพ (three unities) อันเป็นสัญนิยมที่มีลักษณะเฉพาะ ๓ ประการของบทละครสมัยคลาสสิกใหม่ ได้แก่เอกภาพแห่งเวลา เอกภาพแห่งสถานที่ และเอกภาพแห่งการดำเนินเรื่องแล้ว จะพบว่าบทละครเรื่องนี้ มีเอกภาพทั้งสามครบถ้วน กล่าวคือ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวันเดียว เกิดในสถานที่แห่งเดียว และเป็นเรื่องที่มีโครงเรื่องเดียว ซึ่งก็คือมีความขัดแย้งเพียงปมเดียวเท่านั้น การที่บทละครเรื่องนี้เคารพกฎสามเอกภาพอย่างเคร่งครัด ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องมีความกระชับ สมจริง น่าเชื่อถือว่าเป็นไปได้ และมีความสะเทือนอารมณ์สูง บทละครเรื่องนี้ จึงนับว่าเป็นโศกนาฏกรรมอย่างแท้จริง

จำรัส : ตัวละครสามัญที่เคยผิดพลาดในชีวิต

ตัวละครในบทละครโศกนาฏกรรมของอริสโตเติลนั้น มีคุณสมบัติเป็นผู้มีนิสัยดีงาม ไม่ประพฤติผิดศีลธรรม มีลักษณะนิสัยที่เหมาะสมกับสถานภาพของตัวละคร ละครโศกนาฏกรรมนั้นเป็นการเลียนแบบตัวละครที่ดีเกินจริง ส่วนใหญ่เป็นตัวละครสูงศักดิ์ แม้จะมีลักษณะนิสัยที่บกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนดี และไม่สมควรที่จะประสบกับชะตากรรมในตอนจบ การที่ละครโศกนาฏกรรมมีตัวละครสูงศักดิ์เช่นนี้ จึงทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า tragic flaw คือมีชะตากรรมที่ตกต่ำลง อย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับตัวละครผู้สูงศักดิ์ในลักษณะนี้ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่กำหนดชีวิตไว้แล้วได้

แต่จำรัสไม่ใช่ตัวละครผู้สูงศักดิ์ และนางก็ไม่ใช่แบบอย่างของผู้หญิงที่ดีด้วย นางเป็นเพียงตัวละครที่เกิดความสำนึกถึงความผิดพลาดหลายครั้งของตนในอดีต และได้ถือเอาประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นเครื่องเตือนใจว่าจะไม่ทำผิดพลาดดังแต่ก่อนอีก แต่แล้วดูเหมือนว่าชายที่นางทุ่มเทให้ทั้งชีวิตและจิตใจ ยึดมั่นว่าจะเป็นคนรักคนสุดท้ายกลับไม่เปิดโอกาสให้นางได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจและความตั้งใจจริงครั้งนี้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นว่านางจะไม่ยอมทำผิดใดๆ อีก นางจึงขอยืนยันความจริงใจทั้งหมดที่มีด้วยการฆ่าตัวตาย

ความยิ่งใหญ่ของตัวละครสามัญเช่นจำรัสจึงน่าจะอยู่ที่มีความกล้าหาญที่จะประกาศถึงความบริสุทธิ์ใจที่มีต่อชายคนปัจจุบัน ซึ่งนางปักใจแน่วแน่ว่าจะซื่อสัตย์กับเขาไปตลอดชีวิต จำรัสจึงตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตของตนเป็นเดิมพัน แสดงให้เขาเห็นว่าสิ่งที่นางได้กล่าวกับเขานั้น เป็นความจริงทุกคำพูด แต่จำรัสคงเกิดความอับอายและไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เมื่อชายที่นางยกย่องและยอมรับเป็นสามีดุด่าว่ากล่าวนางอย่างรุนแรง โดยไม่ยอมฟังความใดๆ และเลยไปจนถึงรังเกียจว่านางเป็น “ผ้าสกปรกที่ฟอกไม่ขาว” จำรัสจึงได้ตัดสินใจล้างความอับอายนั้นด้วยความตาย

ตัวละครสามัญผู้เคยทำความผิดเช่นจำรัส อาจจะมีส่วนทำให้ความเป็นโศกนาฏกรรมในบทละครเรื่องนี้ลดความยิ่งใหญ่ลงไปบ้าง ที่ตัวละครไม่ได้เป็นผู้มีเกียรติสูงส่ง และไม่ได้เป็นคนมีความประพฤติดีประพฤติชอบ แต่เป็นตัวละครที่เคยทำผิดพลาดมาก่อนซึ่งก็น่าจะทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดระหว่างตัวละครกับผู้ชมทั่วไป เกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจตัวละครจำรัส ซึ่งไม่สมควรจะต้องตาย ขณะเดียวกันก็เห็นใจตัวละครชายทั้งสอง ผู้ซึ่งไม่ปรารถนาจะให้เกิดเรื่องร้ายถึงแก่ชีวิตกับหญิงที่ตนเคยรัก

เพราะเหตุว่าผู้ชมละครส่วนใหญ่เป็นคนสามัญทั่วไป ย่อมมีความผิดพลาดมาก่อนในชีวิต โอกาสที่จะเกิดเรื่องราวอันน่าอัปยศดังในละครเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อผู้ชมละครแล้วเกิดความสะเทือนใจ ก็จะได้รับการชำระอารมณ์ในทันทีทันใด หากแต่การชมละครในสังคมไทยนั้นยังคงผูกติดอยู่กับค่านิยมของความรื่นเริงบันเทิงใจมากกว่าจะนำมาสู่การฉุกคิดให้เกิดพุทธิปัญญา เมื่อละครเรื่องนี้ มีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องความมัวหมองของหญิงและ จบลงท้ายด้วยความตาย จำรัสจึงเป็นตัวละครที่สังคมไทยในเวลานั้นน่าจะไม่ยอมรับว่าเป็นหญิงที่มีความดี แม้ว่าจะมีความตั้งใจจริงว่าจะซื่อสัตย์กับชายคนสุดท้ายในชีวิตก็ตาม และอีกประการหนึ่งจำรัสนับว่าเป็นตัวละครที่อ่อนแอเกินไป หุนหันพลันแล่น ตัดสินใจด้วยอารมณ์เสียใจพียงชั่ววูบ ความตายของจำรัสไม่มีค่าเพียงพอกับเหตุที่เกิดขึ้น วิธีการหาทางออกของจำรัสจึงไม่ได้ทำให้นางได้รับการยกย่องหรือยอมรับว่าตัดสินใจถูกถ้วนแล้วจึงทำ อาจเป็นด้วยเหตุนี้ด้วยกระมังที่ทำให้บทละครเรื่องนี้ ไม่ใคร่จะนิยมนำไปแสดงในโอกาสต่างๆ จำรัสจึงเป็นตัวละครเอกหญิงที่มีผู้รู้จักไม่มากนักเมื่อเทียบกับตัวละครเอกหญิงในบทละครพระราชนิพนธ์เรื่องอื่นๆ

ฟอกไม่ขาว : เรื่องสอนใจชายหรือหญิง

อริสโตเติลกล่าวไว้ใน The Poetics ว่า ละครโศกนาฏกรรมต้องแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาจากเรื่องดีไปสู่เรื่องร้ายของตัวละครที่ดูเพียบพร้อม แต่ทว่ามีจุดอ่อนบางประการที่ทำให้ตัวละครต้องพบความหายนะ บทละครโศกนาฏกรรมจึงทำหน้าที่สั่งสอนและเป็นเครื่องมือที่ให้ผู้ชมฉุกคิดถึงคนดีมีศีลธรรมแต่ได้รับชะตากรรมที่ผกผันอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ตามจุดมุ่งหมายของละครโศกนาฏกรรมที่มุ่งให้ผู้ชมเกิดความสงสารและความกลัวเพื่อให้เกิดการชำระอารมณ์ในตอนท้าย

ฟอกไม่ขาว ก็ทำหน้าที่เสมือนบทเรียนทางศีลธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของจำรัสผู้เลือกความตายเป็นสรณะ จำรัสมาด่วนตายไปเสียก่อน ที่หลวงพรจะได้ทราบความจริงจากนายบุญส่ง เหตุการณ์ที่ผกผันนี้น่าจะเป็นการสอนที่แฝงน้ำเสียงประชดทั้งผู้ชายที่ด่วนสรุปและผู้หญิงที่ด่วนคิดสั้น จึงทำให้เกิดความหายนะอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

เมื่อหลวงพรทราบว่าจำรัสได้ดื่มยาพิษตาย เพราะเสียใจที่ถูกสามีด่าทออย่างรุนแรงจนจำรัสไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นั้น หลวงพรก็ได้รับบทเรียนด้วยความสะเทือนใจอย่างสูงสุดติดตัวไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกับชายผู้ประสงค์ดีและคิดที่จะทำความดีล้างความผิดในอดีตอย่างบุญส่ง ก็คงอดคิดไม่ได้ว่าด้วยความปรารถนาดีอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดและด้วยมุมมองเพียงด้านเดียวของตน จึงไม่ทันได้นึกถึงจิตใจของชายอีกคนซึ่งมีฐานะเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองจำรัสอย่างชอบธรรม ผลก็คือทำให้เกิดโศก นาฏกรรมอย่างที่ตนก็ไม่อาจคาดคิดเช่นกัน นับว่าชายทั้งสองคนได้รับบทเรียนสอนใจด้วยความตายของหญิงที่ตนรัก ซึ่งเป็นบทเรียนราคาแพงที่เกิดจากความหุนหันพลันแล่นและด่วนสรุป จนทำให้เกิดการสูญเสียอย่างไม่มีวันที่จะได้คืนกลับมา

ในส่วนของจำรัสนั้น ดูเหมือนว่าผู้ทรงพระราชนิพนธ์จะแสดงให้เห็นถึงชะตากรรมของหญิงที่ถูกกำหนดในกรอบความคิดของชาย โดยการนำเรื่องราวในอดีตมาตัดสินการกระทำในปัจจุบัน แต่หญิงผู้นี้ก็ควรได้รับการตำหนิเช่นเดียวกับตัวละครชายในเรื่อง กล่าวคือจากความประพฤติที่ไม่เหมาะสมในอดีตนั้นเองได้เป็นเครื่องกำหนดชะตากรรมปัจจุบัน ตัวละครจำรัสจึงแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของหญิงที่ไม่พึงเป็นแบบอย่าง อีกประการหนึ่ง จำรัสอ่อนแอเกินไปที่คิดสั้น เลือกที่ตายทันทีที่ถูกประณาม หากจำรัสมีความเข้มแข็งและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยความสุขุมเยือกเย็นกว่านี้ เรื่องราวแห่งความหายนะคงจะไม่เกิดขึ้นเป็นแน่ บทละครเรื่องนี้ จึงมุ่งสอนใจชาย ที่ไม่พึงนำเรื่องราวในอดีตมาตัดสินปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็สอนหญิงให้ลดทิฐิ ให้มีความเข้มแข็งอดทนและแก้ปัญหาด้วยความสงบเยือกเย็น ลักษณะดังกล่าวนี้นับว่าเป็นข้อบกพร่องของทั้งชายและหญิงโดยทั่วไป บทละครเรื่องนี้จึงนำเสนอสารที่เป็นเครื่องเตือนใจชายและหญิงด้วยเหตุการณ์ที่รุนแรง และชวนให้สะดุดกับเหตุการณ์ในตอนท้ายเรื่องได้เป็นอย่างดี

ฟอกไม่ขาว เป็นละครโศกนาฏกรรมที่มีผู้กล่าวถึงไม่มากนัก อาจเป็นเพราะรสนิยมของการชมละครในสังคมไทยยังคงยึดติดอยู่กับความสนุกสนานเพลิดเพลิน เรื่องที่จบลงด้วยความเศร้าและความรุนแรงเช่นนี้ จึงไม่ใคร่เป็นที่นิยมนำมาแสดงในงานต่างๆ อย่างไรก็ตาม บทละครขนาดสั้นเรื่องนี้ นับว่าเป็นงานสร้างสรรค์ที่มีลักษณะวรรณศิลป์อยู่อย่างครบถ้วน ทั้งบทสนทนาที่คมคาย เฉือดเฉือน ก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ หรือการซ่อนความรุนแรงไว้หลังเวที และการจบเรื่องทันทีที่พบว่าตัวละครดื่มยาพิษตายก็นับเป็นกุศโลบายที่ทำให้เกิดความสงสารและกลัวอย่างฉับพลันขึ้นได้ ลักษณะวรรณศิลป์ทางการแสดงตามสัญนิยมของละครโศกนาฏกรรมเหล่านี้ ล้วนฉายชัดถึงพระอัจฉริยลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทางด้านการละคร

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2550

“ถ้าคุณพลอยยังอยู่ ” : ความยอกย้อนของมโนทัศน์สัมพันธบท



“ถ้าคุณพลอยยังอยู่” เป็นบทละครขนาดสั้นของจักรกฤษณ์ ดวงพัตรา กล่าวถึง ‘คุณพลอย’ หรือ ‘ แม่พลอย’ ตัวละครเอกในนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดินว่า หากเธอยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน ทั้งเธอและแม่ช้อยก็คงสมัครเป็นลูกเสือชาวบ้าน และแม้ว่าจะมีอาการหลงลืมเลอะเลือนตามประสาวัยชราไปบ้าง แต่ก็ยังจดจำเรื่องราวความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวดังที่เคยปรากฏในนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดินมาแล้วเป็นอย่างดี



ผู้ประพันธ์บทละครเรื่องนี้มิได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดินโดยตรง แต่ได้โครงเรื่องจากข้อเขียนในคอลัมน์อายุมงคล-คุย ของม.ร.ว.อายุมงคล โสณกุลเรื่อง“ถ้าแม่พลอยยังอยู่” ซึ่งพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับวันที่ 10 พฤษภาคม 2524 เรื่องนี้มีลักษณะเป็นบทล้อ กล่าวคือมุ่งล้อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชที่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแม่พลอย ตัวละครเอกในนวนิยายที่มีผู้รู้จักอย่างแพร่หลาย ขณะเดียวกันก็ล้อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ซึ่งมีชื่อพ้องกับ “คุณเปรม” สามีของแม่พลอยและได้กล่าวถึงเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวทางสังคมการเมืองในช่วงเวลาที่พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยน้ำเสียงที่แฝงอารมณ์ขันไว้อีกด้วย

แม้ว่าบทละครเรื่อง “ถ้าคุณพลอยยังอยู่” จะดำเนินเรื่องตามบทล้อข้างต้น แต่ในบทละครก็มีข้อความที่โยงกลับไปหานวนิยายเรื่องสี่แผ่นดินอยู่หลายตอน ซึ่งผู้ประพันธ์ได้เปลี่ยนตำแหน่งแห่งที่และนำมาจัดวางในบริบทใหม่ ซึ่งหากนำมาพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นความน่า สนใจในฐานะของงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นจากอำนาจของจินตนาการโดยแท้ ดังที่ตัวละครตัวหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง “เนเวอร์แลนด์ แดนรักมหัศจรรย์” (Findind Neverland) กล่าวว่า “ ถ้าเรามีจินตนาการแม้เพียงน้อยนิด เราจะสามารถหันมาแล้วเห็น”[1] และด้วยมุมมองของคนทำละคร ซึ่งเป็นการยืนยันถึงสถานะของผู้ประพันธ์แล้ว ทำให้น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกว่า หากนำมโนทัศน์เรื่องสัมพันธบท (intertextuality) ซึ่งเป็นแนวการวิจารณ์หลังศตวรรษที่20 และได้รับความนิยมหลังจากที่ทฤษฎีเรื่อง “มรณกรรมของผู้แต่ง” (“the Death of the Author)ได้รับความนิยมอย่างมากมาศึกษาบทละครเรื่องนี้แล้ว บทบาทในฐานะของผู้ประพันธ์จะยังคงมีความสำคัญหรือไม่ หรือจะมุ่งพิจารณาเฉพาะความหมายในตัวบทและปฏิกิริยาของผู้รับเพียงเท่านั้น


สัมพันธบท (intertextuality) : สถานะของตัวบท

สัมพันธบทเป็นมโนทัศน์ที่นักคิดแนวหลังสมัยใหม่( postmodern) นำมาใช้อธิบายเรื่องตัวบทวรรณกรรม หลังจากที่มีการขานรับทฤษฎีการวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงของโรล็องด์ บาร์ตส์ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเขียนบทความเรื่อง “The Death of the Author” เมื่อค.ศ.1968 บทความนี้จุดประกายความคิดที่ว่านักประพันธ์มิได้อยู่ในฐานะผู้สร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมอีกต่อไป และตัวบทมิได้เป็นผลผลิตของอัจฉริยภาพของผู้แต่ง แต่เป็นพื้นที่หลากหลายมิติที่เปิดให้ข้อเขียนจากแหล่งต่างๆได้มาปะทะสังสรรค์กัน ทั้งนี้ ไม่มีข้อเขียนใดที่เป็นของแท้ดั้งเดิมแม้สักชิ้นเดียว ตัวบทคือผ้าถักทอด้วยสารพัดข้อความซึ่งมาจากแหล่งข้อมูลวัฒนธรรมอันหลากหลาย [2] คำอธิบายนี้ ทำให้เห็นว่า“ตัวบท” (text) มีความหมายกว้างมาก แต่นพพร ประชากุล[3] ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวบทในลักษณะของสัมพันธบทไว้อย่างชัดเจนว่า “ตัวบทหนึ่งๆ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับตัวบทอื่นๆ ที่ปรากฏอยู่ในยุคสมัยเดียวกันหรือในยุคสมัยก่อนหน้าไม่มากก็น้อย โดยที่ความสัมพันธ์เชื่อมโยงดังกล่าวมีหลักฐานยืนยันได้ในตัวบทชิ้นที่พิจารณาเป็นหลักอยู่”

จากคำอธิบายข้างต้น บทละครเรื่อง “ถ้าคุณพลอยยังอยู่” จึงเป็นพื้นที่หลากหลายมิติหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นตัวบทหลัก หรือตัวบทปลายทางที่ได้นำตัวบทอื่นๆ ที่มีมาก่อนหน้า ซึ่งรวมทั้งวาทกรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตัวบทต้นทางมาแปรรูปและกลายกลืนให้เป็นองค์ประกอบหนึ่งของตัวบทหลัก โดยมีตัวบทหลักทำหน้าที่ควบคุมความหมายทั้งหมดไว้ การแปรรูปและกลายกลืนจึงเป็นกระบวนการที่ทำให้ผู้อ่านเห็นร่องรอยของการถักทอ ซึ่งสามารถสืบสาวไปถึงตัวบทต้นทางได้ ตัวบทวรรณกรรมจึงมีความหมายว่าแต่ละตัวบทไม่ได้เป็นอิสระจากกัน แต่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ซึ่งอาจเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณาเนื้อเรื่องบางตอนในบทละคร ดังนี้

คุณช้อย : “เรื่องปฏิวัตินี่น่ะอย่าตกใจไปนักเลยแม่พลอย ข่าวเค้าว่า
คุณเปรมแกหนีไปรวมพลที่เมืองโคราช แล้วก็กำลังจะกลับมา
ยึดกรุงเทพฯ ไม่ช้านี้ล่ะ”
คุณพลอย : “ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่จริง!… ไม่น่าเลย… คุณเปรม… ฉัน
ไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง ถ้าคุณเปรมยังอยู่ ฉันก็คงจะถามได้
แต่ก็ช่างเถิดไม่เป็นไร …ว่าที่จริงฉันก็เริ่มจะเข้าใจอะไรได้บ้าง
แล้ว… แต่คุณเปรมนะคุณเปรมจะหนีไปหัวเมืองก็ไม่บอกให้
ฉันรู้ก่อน ฉันจะได้อบแพรเพลาะให้เอาไปห่ม...”
คุณช้อย / คุณอั้น : “คนละเปรม”


ตัวบทหลักตอนนี้ ได้นำตัวบทต้นทางจาก 3 แหล่งมาผสานเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือเริ่มจากเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองคือเหตุการณ์กบฏเมษาฮาวาย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หลบหนีไปรวมพลที่จังหวัดนครราชสีมา จากนั้นได้ยกกองกำลังเข้ามาตรึงในกรุงเทพมหานคร และสามารถยึดอำนาจกลับคืนมาได้ ข้อความต่อมากล่าวว่า “ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่จริง!… ไม่น่าเลย… คุณเปรม… ฉันไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง ถ้าคุณเปรมยังอยู่ ฉันก็คงจะถามได้” เป็นข้อความที่อยู่ในนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดินตอนท้ายเรื่อง เมื่อแม่พลอยทราบข่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลสวรรคต แม่พลอยก็ไม่อาจยอมรับความจริงได้ในตอนแรก และข้อความสุดท้ายกล่าวถึงความทรงจำของแม่พลอยที่มีต่อคุณเปรมผู้เป็นสามี ซึ่งแสดงถึงอารมณ์ขันล้อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ไปพร้อมกันด้วย ข้อความนี้ปรากฏในบทล้อเรื่อง “ถ้าแม่พลอยยังอยู่” จะเห็นว่าตัวบทหลักคือบทละครเรื่องนี้ทำให้สืบสาวขึ้นไปถึงความสัมพันธ์ที่โยงใยไปถึงตัวบทต้นทางอย่างมีหลักฐานชัดเจน และนำมาจัดวางในบริบทที่แสดงให้เห็นตัวตนของแม่พลอยในวัยชรา สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายเพื่อล้อแม่พลอยในตัวบทต้นทางได้อย่างลงตัว


“ถ้าแม่พลอยยังอยู่" : บทบาทของผู้รับ

ม.ร.ว.อายุมงคล โสณกุล เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ท่านคุ้นเคยกับม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้เขียนประวัติและผลงานทางวรรณคดีของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชพิมพ์ลงใน Encyclopedia of World Literature ไว้ด้วย บทล้อที่แฝงด้วยอารมณ์ขันเรื่อง “ถ้าแม่พลอยยังอยู่” จึงเป็นเสมือนการสนทนาเพื่อล้อเลียนม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชและสร้างจินตนาการผสานกับเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงเวลานั้นได้อย่างคมคาย ดังที่ขึ้นต้นว่า

“ถ้าแม่พลอยยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้...แกก็เป็น
ลูกเสือชาวบ้าน...นั่นละ...แม่พลอยละ”- - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

วันนั้น ช้อยลงจากรถแท็กซี่แล้วถือไม้เท้ากระย่องกระแย่ง
แต่ยังกระฉับกระเฉงถึงหน้ากระไดเรือน แม่พลอยก็ลงนั่งแล้วถัดขึ้น
กระไดอย่างคล่องแคล่ว
“พลอย” ช้อยเรียกเมื่อมองเห็นพลอยนั่งตะบันน้ำกินอยู่ในห้อง
“เขาปฏิวัติกันอีกแล้วละ รู้ไหม”[4]

ข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นบทบาทของผู้รับในลักษณะที่มุ่งล้อตัวบทต้นทาง ซึ่งก็คือถ้อยคำสัมภาษณ์ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ต่อมาก็เชื่อมโยงเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดรัฐประหารขึ้น เพื่อนำไปสู่การแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของแม่พลอย แม้ว่าแม่พลอยจะล่วงเข้าสู่วัยชราถึงขั้นตะบันน้ำกินก็ตาม

หากนำความคิดที่ว่าวรรณกรรมเมื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ ย่อมตกเป็นเอกสิทธิของสาธารณชนที่จะตีความและประเมินค่ามาพิจารณาแล้ว ย่อมจะเห็นถึงบทบาทของผู้รับที่สามารถจะตีความและเข้าถึงตัวบทได้ในลักษณะต่างๆ บทล้อของม.ร.ว.อายุมงคล โสณกุลทำให้เราเห็นถึงบทบาทของผู้รับที่จินตนาการต่อจากตัวบทต้นทาง และนำมาสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ได้อย่างคมคายน่าสนใจและชวนให้ขบขันบรรลุตามความมุ่งหมายของการประพันธ์


“ถ้าคุณพลอยยังอยู่” : บทบาทของผู้ประพันธ์

จักรกฤษณ์ ดวงพัตราเคยเขียนบทละครจากนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดินมาก่อนหน้านี้แล้ว คือเมื่อพ.ศ.2537 ซึ่งได้กล่าวถึงแผ่นดินที่ห้าไว้ด้วย ซึ่งเป็นการจินตนาการต่อจากนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน แต่ในบทละครเรื่อง “ถ้าคุณพลอยยังอยู่” นี้ ผู้ประพันธ์น่าจะมุ่งสนทนากับบทล้อของม.ร.ว.อายุมงคลมากกว่าตัวบทนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน ประเด็นที่สนทนาก็คือการย้ำให้เห็นอำนาจของงานศิลปะว่าอยู่เหนือกาลเวลา ดังที่ Edith Hamilton กล่าวไว้ใน Methology Timeless Tales of Gods and Heroes ว่า “ในที่สุดแล้ว เมื่อใครสักคนหยิบหนังสืออย่างนี้ขึ้นมา เขาก็จะไม่ถามว่าผู้เขียนได้เล่าเรื่องเสียใหม่อย่างสนุกสนานเพียงใด แต่จะถามว่า เขาได้นำผู้อ่านเข้าไปใกล้กับเรื่องดั้งเดิมเพียงไร ”[5] นั่นย่อมหมายถึงว่า ผู้ประพันธ์บทละครเรื่องนี้ นอกจากจะให้ผู้รับพิจารณาตัวบทกลางคือ “ถ้าแม่พลอยยังอยู่” แล้ว ยังมุ่งให้ผู้รับหวนกลับไปถึงตัวบทต้นทางคือ นวนิยายเรื่องสี่แผ่นดินอีกด้วย จะเห็นว่าผู้ประพันธ์พยายามจะรักษาภาพลักษณ์ของคุณพลอยไม่ต่างกับสตรีที่ได้รับการอบรมมาดีพร้อมให้มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ดุจเดียวกับในนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน ดังตอนหนึ่งที่ว่า

คุณพลอย : “แม่ต้องรีบไปลูก แม่เป็นลูกเสือชาวบ้าน บ้านเมืองเป็นจลาจล
อย่างนี้ แม่อยู่เฉยไม่ได้หรอก อั้นช่วยพยุงแม่ไปเร็วๆ เถอะลูก”
คุณอั้น :“คุณแม่ไปช่วยเค้าไม่ได้หรอกครับ แล้ววันนี้เราก็ต้องไปเยี่ยม
พี่อ้นด้วย”
คุณพลอย : “โธ่ อ้น ลูกแม่… เพิ่งจะปฏิวัติกันยังไม่ทันไรเลย โดนจับอีกแล้ว…
คราวนี้โทษคงไม่ถึงประหารชีวิตเหมือนครั้งก่อนใช่มั้ยอั้น”
คุณอั้น :“เปล่าครับ คุณแม่ นั่นมันเรื่องเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖ แต่นี่ พ.ศ.๒๕๒๔
แล้วครับ พี่อ้นไม่ได้โดนจับไปขังที่บางเขน เค้าไปนอนที่โรงพยาบาล
รามาฯ ให้หมอแผนกอายุรเวชเขาตรวจโรคชราไงครับ แล้วฟัน
ปลอมนี่น่ะ ก็ของพี่อ้นเค้า ผมหยิบมาวางเตรียมไว้ว่าจะเอา
ไปด้วย เพราะว่าตอนที่พี่อ้นเข้าโรงพยาบาล พี่เค้าหยิบผิดอัน
เอาฟันปลอมของยายประไพใส่ไปน่ะครับ”
คุณพลอย : “อนิจจํ ทุกขํ”

จากบทสนทนานี้ เราจะเห็นภาพผู้หญิงชราคนหนึ่งที่แม้ร่างกายภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ความทรงจำยังคงแจ่มชัด แม้ว่าเธอจะเอาเรื่องราวในอดีตมาประสมประสานกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นความเป็นแม่พลอยจากเรื่องสี่แผ่นดิน โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “อนิจจํ ทุกขํ” ที่ล้อความเป็นแม่พลอยได้อย่างแนบเนียน คือแสดงถึงความมีใจมั่นในพระพุทธศาสนา ซึ่งในเรื่องสี่แผ่นดิน ก็แสดงให้เห็นชัดว่า เมื่อเธอประสบเหตุการณ์ร้ายๆ ในชีวิต พระพุทธศาสนาได้ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจให้เธอตระหนักในความจริงและยอมรับโดยดุษณีตลอดมา

ข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ การที่ผู้ประพันธ์เรียกแม่พลอยว่า ‘คุณ’ ทำให้เกิดระยะห่างทั้งด้านฐานะทางสังคมและกาลเวลาที่ผ่านไประหว่างตัวละครกับผู้ประพันธ์ ซึ่งก็เป็นผู้รับในขณะ เดียวกันด้วย นับว่าเป็นกลวิธีหนึ่งของบทละครสมัยใหม่ ที่มีจุดประสงค์จะให้ผู้ชมละครเกิดการฉุกคิดมากกว่าจะมุ่งให้เกิดอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปกับตัวละคร และเป็นการย้ำเตือนสถานะความเป็นบทละครที่เกิดจากจินตนาการได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะละครที่มีลักษณะล้อเลียนตัวบทต่างๆ ดังในเรื่องนี้ ซึ่งอาจมองว่าเป็นการแสดงอารมณ์ขันที่พยายามจะจินตนาการถึงหญิงชราวัยกว่าร้อย แต่มีความจงรักภักดีอย่างที่สุด และมีความพยายามจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกป้องประเทศชาติบ้านเมืองดุจเดียวกับประชาชนอื่นๆ
อาจจะเห็นว่าบทสนทนาของตัวละครในเรื่องมักจะพูดซ้ำๆ อยู่ไม่กี่ประโยค ซึ่งอาจทำให้เห็นความจงใจที่จะย้ำถึงภาพของตัวละครแต่ละตัวที่ต่างก็ชราภาพไปตามๆ กัน หรืออาจให้เกิดความขบขันจากอากัปกิริยาของตัวละคร เช่นที่ว่า

พลอยวางสากที่กำลังใช้ตะบันน้ำโดยเร็ว รีบคว้าสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ พยายามพันรอบคอ
“ฉันต้องไปทำหน้าที่ลูกเสือชาวบ้านแล้วละช้อย อ้น อั้น ประไพ เขาปฏิวัติ
กันอีกแล้ว ช่วยหามแม่ไปช่วยเขาซิ เอ..นี่แม่กินข้าวแล้วหรือยังนะ”
“นั่นไม่ใช่ผ้าพันคอลูกเสือชาวบ้านของคุณแม่นะครับ” ตาอั้นโผล่เข้ามาท้วง
พอดี ”นั่นฟันปลอมของพี่อ้น ใช้พันคอไม่ได้หรอกครับ”

จากบทสนทนานี้ เราจะเห็นภาพหญิงชราคนหนึ่งที่แม้ร่างกายภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่เนื้อแท้แล้ว ยังคงมีใจที่มุ่งมั่นจะช่วยชาติอย่างแท้จริง

สัมพันธบท : ความยอกย้อนของมโนทัศน์

หากพิจารณาที่มาของมโนทัศน์เรื่องสัมพันธบทแล้ว จะพบว่าสืบเนื่องมาจากทฤษฎีการวิจารณ์ของโรล็องด์ บาร์ตส์ที่มุ่งให้ความสำคัญต่อตัวบทและผู้รับมากกว่าจะยกย่องผู้ประพันธ์ในทำนองเทพปกรณัม และมุ่งเน้นการอ่านละเอียด(closed reading) เพื่อค้นหาความหมายตาม สัญญะที่ปรากฏในตัวบท แต่ในเวลาเดียวกันบาร์ตส์เองก็ชี้ว่าการวิจารณ์ตัวบทนั้นก็ไม่อาจละทิ้งบริบททางสังคมไปได้ ที่สำคัญหากตัวบทนั้นจัดเป็นงานศิลปะ บทบาทของผู้ประพันธ์ย่อมโดดเด่นทั้งในฐานะของผู้รับและผู้สร้าง
หากการวิจารณ์ในศตวรรษใหม่จะปฏิเสธบทบาทของผู้ประพันธ์ และให้ความสำคัญเฉพาะการค้นหาความหมายในตัวบทและปฏิกิริยาของผู้รับเท่านั้นแล้ว คงกล่าวได้ว่าการวิจารณ์นั้นไม่อาจจะสมบูรณ์ไปได้ ถ้าละเลยกระบวนการสร้างสรรค์ตัวบท บทบาทของผู้ประพันธ์ควรจะมีความสำคัญต่อการสร้างผลงานด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากยึดถือการวิจารณ์สมัยใหม่อย่างสุดโต่งภายใต้กรอบความคิดที่ว่าผู้แต่งไม่มีตัวตนแล้ว เราจะประเมินค่างานนั้นได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ คงต้องกลับไปทบทวนถึงการนำมโนทัศน์นี้มาวิจารณ์ผลงานศิลปะอีกครั้งหนึ่งแล้วกระมัง

[1] เมื่อจักรกฤษณ์ ดวงพัตรานำบทละครเรื่องนี้ มาสอนในชั้นเรียนระดับปริญญามหาบัณฑิตที่คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ยกข้อความนี้มาเป็นวิธีวิทยา (methodology)ที่จะเข้าถึงบทละครเรื่องนี้ว่า “...with just a wee bit of imagination, I can ture around right now and see…”
[2] อ้างถึงในชูศักดิ์ ภุทรกุลวณิช.”ชะตากรรมของหนังสือในสหัสวรรษใหม่” อ่านไม่เอาเรื่อง. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์คบไฟ,2545.),14.
[3] นพพร ประชากุล “สัมพันธบท” , สารคดี ป.16 ฉ 182 (เมษายน) ,2543 : 175-177.
[4] ม.ร.ว.อายุมงคล โสณกุล “ถ้าแม่พลอยยังอยู่” สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ (10 พฤษภาคม 2524)
[5] ...After all, when one takes up a book like this one does not ask how entertainingly the author has retold the stories, but how close he brought the reader to the original.

บรรณานุกรม

คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. สี่แผ่นดิน,พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์สยามรัฐ,2531.
จักรกฤษณ์ ดวงพัตรา. ถ้าคุณพลอยยังอยู่ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาวรรณคดีกับศิลปะ
แขนงอื่น คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,2548.
ชูศักดิ์ ภุทรกุลวณิช.”ชะตากรรมของหนังสือในสหัสวรรษใหม่” อ่านไม่เอาเรื่อง.
กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์คบไฟ,2545.
นพพร ประชากุล “สัมพันธบท” , สารคดี ป.16 ฉ 182 (เมษายน) ,2543 : 175-177.
อายุมงคล โสณกุล,ม.ร.ว. ถ้าแม่พลอยยังอยู่” สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ (10 พฤษภาคม 2524.



-------------------------------------

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2550

โอ...อัมพวา : หนังสือภาพแนวอนุรักษ์ภูมิทัศน์





ขณะที่เดินดูสินค้าที่วางขายเรียงรายเลียบคลองอัมพวาอยู่นั้น พลันสายตาก็ไปเห็นหนังสือเล่มนี้วางอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง โอ...อัมพวา หนังสือภาพสามภาษา มีไทย อังกฤษและญี่ปุ่น ภาษาไทยเขียนโดยพี่โกะ ชุมพล อักพันธานนท์ ราคา ๑๔๐ บาท ไม่แพงเกินไปสำหรับหนังสือภาพ ใช้สีซีเปียเพิ่มความรู้สึกโบราณนานช้า และชวนให้รำลึกถึงความหลัง ...และได้ยินเพลงสาวอัมพวาของครูเอื้อ สุนทรสนานลอยมาตามลม "โอ อัมพวา นี่หนางามจริง ทุกสิ่งเป็นขวัญตา โอ้ว่าผู้หญิงยิ่งงามโสภา ดั่งนางฟ้าชาวไทย ..."


บ่ายวันอาทิตย์ เพื่อนชวนไปเที่ยวตลาดร้อยปี นึกว่าจะไปสามชุก แต่กลับเป็นตลาดร้อยปีที่อัมพวา ห่างจากกรุงเทพฯไปทางถนนพระราม ๒ ไปชั่วโมงกว่า ก็ถึงเมืองสมุทรหรือจังหวัดสมุทรสงคราม บ่ายวันนั้นไม่มีแดด ทำท่าเหมือนฝนจะตกด้วยซ้ำ หลังจากไปตั้งต้นไหว้พระประจำเมืองที่วัดเพชรสมุทรฯแล้ว ก็ออกเดินทางไปอำเภออัมพวา ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๖-๗ ก.ม.ที่ตลาดมีคนพาลูกจูงหลานมาเดินเที่ยวมากมาย อาจเป็นเพราะวันหยุดสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่โรงเรียนจะเปิดเทอม มีของขายตลอดทางเดินเลียบแม่น้ำ หน้าตาคล้ายๆ ตลาดวัดดอนหวาย แต่คลาสสิคกว่าตรงที่ร้านค้านั้นบางร้านเก่า บางร้านตกแต่งใหม่ ทันสมัยเฉียบต้อนรับแขกท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตามร้านมีของขายทั้งเป็นสินค้าท้องถิ่นและแปลกถิ่น เช่นเสื้อผ้า ตลาดร้อยปีจะขายตั้งแต่กลางวันถึงสามทุ่ม ก็คงขายจนกว่านักท่องเที่ยวจะกลับกันหมด รอบค่ำเขาว่าคนยิ่งแน่น เพราะไปลงเรือดูหิ่งห้อยกัน


บ่ายวันที่ฟ้าครึ้มฝน ร้านที่ขายดีสุดๆ เห็นจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือชามละ ๑๐ บาท ขายดีถึงขนาดเส้นก๋วยเตี๋ยวลวกยังไม่ทันนิ่มดีก็ยกออกมาแล้วพร้อมกับเศษหมูลอยหน้านิดหน่อย และคนสั่งต้องบริการเสิร์ฟเอาเอง ชิมแล้วอืม..อร่อย ทั้งๆที่ไม่หิวหรอก มันคงเป็นเพราะบรรยากาศพาไปแน่เลย อีกร้านหนึ่งที่ทำกำไรไม่รู้เรื่องคือ เรือขายกุ้งย่าง ปลาหมึกย่าง ราคาไม่ต้องพูดถึง แพงกระฉูด แต่ก็มีคนสั่งรับประทานเพราะกลิ่นที่หอมหวนยวนจมูก บอกแล้วว่าบรรยากาศเป็นใจเอามากๆ พอเดินไปจนสุดทางเลียบคลอง ก็จะมีบริการล่องเรือชมหิ่งห้อย คนละ ๕๐ บาท เสียดายวันนั้นฝนตกปรอยๆ เรากลัวหิ่งห้อยจะไม่มาให้เห็น ก็เลยกลับกันเสียก่อน ตั้งใจว่าวันหลังอากาศดีฟ้าโปร่งจะไปเที่ยวอีก และจะอยู่ดูหิ่งห้อยกลางคืนให้ได้เลย

โอ...อัมพวา เป็นหนังสือภาพที่บันทึกเรื่องราวความเป็นมาและเป็นไปของชาวอัมพวาที่ดำเนินมากว่าร้อยปี ภาพเก่าๆ ล้วนมีเสน่ห์ ก่อให้เกิดความหวงแหนและการอนุรักษ์ไว้ ถ้อยคำประกอบภาพก็แสดงวาทะคมคาย ดังภาพนี้บรรยายว่า "บ้านมีชีวิต เพราะคนใช้ชีวิต"

หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่หนังสือนำเที่ยวที่ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวในทางกายภาพ แต่ให้อารมณ์ความรู้สึกของการย้อนอดีต และเรื่องราวยาวนานของภูมิทัศน์แห่งนี้ โอ...อัมพวา

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2550

กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์กับเซอเรียลิสม์








อังคาร กัลยาณพงศ์ จิตรกรกวี ผู้มีผลงานด้านกวีนิพนธ์เป็นที่รู้จักกันดี เช่น กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์, ลำนำภูกระดึง, บางกอกแก้วกำศรวล และ ปณิธานกวี เป็นต้น กวีนิพนธ์ของเขาได้รับยกย่องว่ามีคุณค่าทางวรรณศิลป์ อังคารเป็นกวีคนแรกและคนเดียวที่ได้รับรางวัลเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ และได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๒


เรื่อง อังคาร กับ เซอเรียลิสม์ นั้น ได้มีผู้ศึกษาไว้เมื่อเกือบ ๒๐ ปีก่อนแล้ว คือ ชลธิรา สัตยาวัฒนา ชลธิราได้เสนอบทความเรื่อง “อังคาร กัลยาณพงศ์ : เซอเรียลิสม์”[1] บทความขนาดสั้นนี้ มีลักษณะเป็นการนำเสนอความคิด เพื่อก่อให้เกิดการตื่นตัวในวงวรรณกรรมมากกว่าจะเป็นงานค้นคว้าอย่างจริงจัง ต่อมาเห็นว่า ความคิดนี้น่าสนใจ จึงได้นำมาศึกษาในแนววรรณคดีเปรียบเทียบ


เมื่อได้ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบกวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์และกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์แล้ว พบว่า กวีนิพนธ์ของอังคารมีลักษณะเด่นที่คล้ายคลึงและแตกต่างจากกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์ดังต่อไปนี้

ลักษณะที่คล้ายคลึงกัน

๑. มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับการขบถ


ลักษณะ “ขบถ” คือ การแสดงความคิดปฏิเสธสังคม ไม่ยอมรับสภาพความเป็นไปของสังคม ก่อให้เกิดความคิดและแนวทางในการปฏิบัติต่างออกไปจากที่เป็นอยู่แต่เดิม ดังที่กวีเซอเรียลิสม์ไม่ยอมรับ ขนบธรรมเนียม ประเพณี การเมือง ประวัติศาสตร์ และศาสนา พวกเขาหันไปแสวงหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะทำให้เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งความเป็นจริงที่เลวร้ายในชีวิตประจำวัน วิธีการที่แสดงออกถึงลักษณะขบถอย่างชัดแจ้งของกวีเซอเรียลิสม์ คือ การเขียนเรื่องราวอย่างไม่ตั้งใจ มีลักษณะการพรั่งพรูออกมาจากจิตใต้สำนึก เกิดเป็นกวีนิพนธ์ในรูปแบบใหม่อันปฏิเสธขนบนิยม รวมทั้งมีเนื้อหาใหม่ ที่มีแก่นเรื่องจากการขบถแฝงอยู่ แต่สำหรับอังคาร ได้เลือกวิธีการลักษณะขบถด้วยการบริภาษ กวีนิพนธ์ของเขาบางบท เต็มไปด้วยน้ำเสียงประชดประชันเยาะเย้ยถากถางไปจนถึงบริภาษอย่างรุนแรง การขบถนี้ได้แสดงให้เห็นถึงโลกแห่งอุดมคติของกวี ด้วยการสะท้อนภาพน่าเกลียดน่ากลัว และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ในสังคมออกมา ทั้งนี้ อาจจะให้ผู้อ่านเกิดสำนึกขึ้นแล้วช่วยกันป้องกันและหาทางแก้ไขก็เป็นได้


อังคารเขียนกวีนิพนธ์บริภาษมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ที่มากด้วยกิเลส การบริภาษนี้ดูเหมือนจะหวังผลให้มนุษย์ลดกิเลสและอัตตาลง พร้อมทั้งชี้แนวทางที่จะให้มนุษย์อยู่รวมกันในสังคมอย่างสันติสุข อังคารได้บริภาษพระสงฆ์ เพื่อชี้ให้เห็นว่า พระสงฆ์บางรูปแสดงพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา อังคารจึงนำภาพพฤติกรรมดังกล่าวมาแสดงไว้ เพื่อให้พระสงฆ์บางรูปเกิดสำนึกในหน้าที่และความถูกต้องที่ผู้ประพฤติธรรมพึงปฏิบัติ อังคารจึงได้บริภาษเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ แต่มนุษย์นำมาใช้อย่างไม่คำนึงถึงความพอเหมาะพอดี เทคโนโลยีกลับทำลายระบบนิเวศวิทยา เป็นการทำลายสภาพธรรมชาติซึ่งอังคารเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข


ทั้งอังคารและกวีเซอเรียลิสม์ต่างก็มีความหวังว่า การขบถของพวกเขา จะเป็นหนทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมในทิศทางที่ตนปรารถนา

๒. มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับกวีนิพนธ์


ทั้งอังคารและกวีเซอเรียลิสม์ต่างให้ความสำคัญกับ “กวีนิพนธ์” อย่างมาก โดยเฉพาะอังคารได้ตั้งปณิธานที่จะยกระดับคุณค่าของกวีนิพนธ์ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งศาสนา และมุ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกวีนิพนธ์กับธรรมชาติ อีกทั้งอังคารได้นำสุนทรีย์จากธรรมชาติ มาเป็นหนทางนำไปสู่สัจธรรมตามปรัชญาพุทธศาสนา ดังที่ปรากฏในกวีนิพนธ์หลายๆ บท เช่น

ข้ายอมสละทอดทิ้ง ชีวิต
หวังสิ่งสินนฤมิต ใหม่แพร้ว
วิชากวีจุ่งศักดิ์สิทธิ์ สูงสุด
ขลังดังบุหงาป่าแก้ว ร่วงฟ้ามาหอม
(กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ๒๕๒๙ : ๓๓)

หรือใน “ปณิธานกวี” อังคารได้ขอเป็นผู้เสียสละอย่างที่สุด ด้วยการยอมทุกข์ทรมานเพื่อดำรงไว้ซึ่งความเป็นกวี

ถึงใครเหาะเหินวิมุตติสุดฝั่งฟ้า เดือนดาริกาเป็นมรรคายิ่งใหญ่
แต่เราขอรักโลกนี้เสมอไป มอบใจแด่ปฐพีทุกชีวีวาย
จะไม่ไปแม้แต่พระนิรพาน จะวนว่ายวัฏฏสงสารหลากหลาย
แปลค่าแท้ดาราจักรมากมาย ไว้เป็นบทกวีแด่จักรวาล
เพื่อลบทุกข์โศก ณ โลกมนุษย์ ที่สุดสู่ยุคเกษมศานต์
วารนั้นฉันจะป่นปนดินดาน เป็นฟอสซิลทรมานอยู่จ้องมอง
(ปณิธานกวี ๒๕๒๙ : ๒๓)


จากบทกวีจะเห็นได้ว่าอังคารมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตที่จะไปสู่ภาวะ “หลุดพ้น” โดยแสดงเจตจำนงนี้ผ่านทาง “กวีนิพนธ์” อาจกล่าวได้ว่า กวีนิพนธ์ของเขาเป็นหนทางนำไปสู่ “นิพพาน” ในความหมายของเขา และคิดอย่างมีความหวังว่าเขาจะไปสู่จุดหมายปลายทางได้ตราบที่เขายังมีชีวิตอยู่
อองเดร เบรอตง หนึ่งในผู้นำกลุ่มเซอเรียลิสม์ ได้แสดงความคิดเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ไว้ว่า กวีนิพนธ์สามารถสื่อให้เห็นสัจธรรมในจิตใจมนุษย์ได้มากที่สุด เพราะความคิดของเซอเรียลิสม์ จะไม่นิยมบรรยายความจริงตามธรรมดาสามัญ แต่ต้องปล่อยให้จิตใต้สำนึกบรรยายคำพูดออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ สื่อความนึกคิดจากจิตโดยตรงมาเป็นกวีนิพนธ์จึงทำให้เกิดกวีนิพนธ์ในรูปแบบแปลกใหม่ขึ้นมา และแก่นเรื่องเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ก็กลายเป็นแก่นเรื่องสำคัญของทั้งอังคารและกวีเซอเรียลิสม์

๓. มีแก่นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจิตรกรรมกับกวีนิพนธ์


ในกวีนิพนธ์ของอังคารนั้น ได้สะท้อนให้เห็นความรู้สึกผูกพันที่อังคารมีต่อศิลปกรรมโดยเฉพาะศิลปะอยุธยา กวีนิพนธ์ของเขาได้ซึมซับความรู้สึกนี้ไว้ จนผู้อ่านเกิดจินตนาการและสะเทือนใจไปพร้อมๆ กับกวีด้วยเห็นชัดว่าอังคารภาคภูมิใจความยิ่งใหญ่และความงามของศิลปกรรมในอดีต พร้อมๆ กับแสดงความเศร้าโศกเสียใจเสียดายที่ปัจจุบันความงามนั้นไม่เหลือไว้ให้ชนรุ่นหลังอีกต่อไปแล้ว อังคารจึงได้จารึกความงามของศิลปกรรมนั้นลงในกวีนิพนธ์ เช่น ในบทกวีชื่อ “ชมลายประดับมุก” และ “กนกนกแก้ว”

ส่วนกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์ มุ่งเน้นความเกี่ยวพันของศิลปะสองแขนง คือ กวีนิพนธ์กับจิตรกรรม ด้วยการสร้างสรรค์บทกวีจากความประทับใจที่กวีเคยได้รับจากการชมภาพจิตรกรรม และจากการคลุกคลีอยู่กับการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมของจิตรกรร่วมสมัย เช่น อองเดร เบรอตง เขียนบทกวีชื่อ “แมกซ์ แอร์นส์” (Max Ernst) ขึ้นจากความประทับใจผลงานของแอร์นส์ เนื้อความตอนหนึ่งในกวีนิพนธ์บทนี้กล่าวถึง “ผู้ร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิดผู้ประเปรียวหมุนรอบพรหมจรรย์ของกระโปรงตัวสั้น” ทำให้เราหวนระลึกถึงภาพเขียนของแอร์นส์ ชื่อ “ยามเที่ยงคืนย่างกรายอยู่เหนือหมู่เมฆ” (“Au-dessus des nuages marche la minuitt”) ซึ่งเป็นภาพผู้หญิงไม่มีศีรษะ สวมกระโปรงสั้น


กวีนิพนธ์บทนี้มีลักษณะเป็น “บทกวี-ภาพเขียน” เพราะในขณะที่ผู้อ่านกำลังอ่านกวีนิพนธ์บทนี้อยู่จะรู้สึกเหมือนกำลังชมภาพเขียนไปด้วย นับได้ว่ากวีนิพนธ์ของอังคารและของเซอเรียลิสม์นั้น มีแก่นเรื่องแสดงความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะสองแขนง บทกวีของอังคารสะท้อนความงามของศิลปกรรมในอดีต แต่บทกวีเซอเรียลิสม์เน้นความประทับใจจากภาพจิตรกรรมของกวีร่วมสมัยที่อยู่ในกลุ่มร่วมอุดมการณ์


๔. มีการเสนอจินตภาพ (Image) ที่น่าอัศจรรย์ใจ


“จินตภาพที่น่าอัศจรรย์ใจ” ในที่นี้หมายถึง ภาพที่เกิดขึ้นในความรู้สึกของตน ตามที่เคยได้มีประสบการณ์มา แต่จินตภาพที่เกิดขึ้นนี้เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกโอ่อ่า มลังเมลือง ตื่นตาตื่นใจ เกินความเป็นจริง กึ่งฝันและชวนให้พิศวง ความอัศจรรย์ใจนี้ถือเป็นลักษณะสำคัญของกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์ซึ่งนิยมเสนอความแปลกใหม่ที่ผู้อ่านไม่เคยพบเห็นมาก่อน การเสนอจินตภาพที่น่าอัศจรรย์ใจนี้ ก็มีปรากฏในกวีนิพนธ์ของอังคารเช่นกัน แม้ว่าจะกล่าวถึงเรื่องราวต่างกัน แต่อังคารและกวีเซอเรียลิสม์ก็มีวิธีการนำเสนอจินตภาพที่น่าอัศจรรย์ใจคล้ายๆ กันดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

๔.๑ การแสดงภาพที่วิปริตแปรปรวน



ภาพที่วิปริตแปรปรวนนี้คือ การสะท้อนภาพความจริงในสังคม ในชีวิตประจำวันออกมาเป็นภาพที่เกินไปจากความจริง แสดงความปั่นป่วน ชวนให้งงงวย หรือเป็นภาพชนิดที่เราไม่เคยคาดคิดและพบเห็นมาก่อน ดังที่อังคารเสนอภาพการกลับตาลปัตรของธรรมชาติ เป็นภาพที่แฝงด้วยสัญลักษณ์มากมายในกวีนิพนธ์ชื่อ “เปลือยป่าช้าร่าระบำรำ”

สุเมรุเอนจากหลักโลก เริ่มคลอนโยกเป็นตมเลน
ตมสูงเตรียมล้มระเนน วินาศเน่าเบ้ากว่าอาจม
กิ้งก่าผวาหาหลักฟ้า ซ่าสอพลอสิ่งซึ่งล้ม
อึ่งอ่างหมอบปลอบตม อมเหรียญตราบ้ายศจัด
หมากิ้งกือเลื้อยไปมา สุเมรุหลงว่าทักษิณาวัฏฏ์
สัตว์เคารพท่านถนัด บัดซบชะงัดอย่างมหัศจรรย์
สัตว์ต่ำเลื้อยสอสอ ประจบสอพลอจ้าละหวั่น
สุขตมเอกเอนกอนันต์ สรรเสริญจนเจริญสรรพภัย
(ปณิธานกวี ๒๕๒๙ : ๙๑)

ในกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์มีการแสดงภาพที่เป็นสัญลักษณ์ซ่อนเรื่องราวที่แท้จริงเอาไว้เช่นกัน บางภาพนั้น นอกจากจะเปี่ยมไปด้วยจินตนาการของกวีแล้ว ยังแฝงความปรารถนาทางเพศไว้ด้วย เช่นที่ เครอเวล (Crevel) กวีกลุ่มเซอเรียลิสม์ได้สร้างสรรค์เมืองมาร์แซยให้แสดงท่ายั่วยวนได้

เมืองนอนเปลือยกางขา Les Jambes ecartees, une ville
อยู่ริมทะเลเรืองแสง S’endort, nue sur la mer
phosphorescente
(สดชื่น ชัยประสาธน์ ๒๕๓๒ : ๖๖)


คำว่า “nue” นอกจากจะมีความหมายว่า “เปลือย” แล้ว ยังให้ภาพของพื้นที่ที่ปราศจากต้นไม้อีกด้วย นับว่าเป็นการสะท้อนสภาพเมืองมาร์แซยที่เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรม มีแต่ตึกรามและโรงงาน อีกทั้งเมืองนี้เป็นท่าจอดเรือ มีอ่าวอยู่กลางเมือง การที่กวีบรรยายว่าเขาเห็น “เมืองนอนกางขา” นั้น ก็เป็นการบรรยายสภาพที่เป็นจริงด้วยสายตาที่แปลกออกไป ทำให้ผู้อ่านเกิดอัศจรรย์ใจได้

๔.๒ การแสดงภาพอันกว้างใหญ่ของธรรมชาติและอาณาจักรของเวลา


อังคารมักใช้คำที่เสนอภาพกว้างใหญ่ ไม่มีขอบเขตจำกัด และหาที่สิ้นสุดมิได้ เช่น

ณ เวิ้งวิเวกเอกภพมหึมา และ ณ ตราจักรอันหลากหลาย
จะหาหล้าไหนวิเศษแพร้วพรรณราย ให้ดุจโลกมนุษย์สุดยากนัก
(ปณิธานกวี ๒๕๒๙ : ๔๐)

การใช้คำว่า “เวิ้ง” “มหึมา” นั้น แสดงภาพโล่ง กว้างใหญ่ พร้อมทั้งให้ความรู้สึกมลังเมลือง โอ่อ่า ในคำว่า “วิเศษ” “แพร้วพรรณราย” ในกวีนิพนธ์ชื่อ “กาลจักร” ก็ปรากฏฉากที่วิจิตรบรรจงเช่นกัน

“… เวลาก็เร่งฝีเท้าขึ้นอย่างรวดเร็ว จนล่วงหน้าสรรพสิ่งทั้งหลายไป กระทั่งล่วงเข้าไปในแว่นแคว้นหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครไปถึง มีเทือกผาชันสูงลิบลิ่ว บางดวงดาวโคจรมากระทบหน้าผาแตกร่วงเนผลึกแก้วมณี ต้องสายน้ำตกทอรุ้งแวววาว สายลมโชยนานาบุปผาชาติ หอมเข้มข้นเป็นวนวัง แววทิพยเนตรแห่งเวลาได้มาเห็นและหลงใหลในภวังค์ธรรมชาตินั้น จึงหลงทางปะทะหน้าผาลื่นสลบไสลไป …”
(กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ๒๕๒๙ : ๗๐)

จะเห็นได้ว่าฉากนี้งดงามอย่างไม่มีที่ติ ผู้อ่านจะจินตนาการไปกับวรรคที่ว่า “บางดวงดาวโคจรมากระทบหน้าผาแตกร่วงเป็นผลึกแก้วมณี ต้องสายน้ำตกทอรุ้งแวววาว” ขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ นับเป็นจินตนาการที่เปี่ยมด้วยอิสระของผู้แต่ง แสดงถึงการไม่สิ้นสุดของจินตนาการ ซึ่งนอกจากผู้แต่งจะถ่ายทอดจินตนาการอันไม่สิ้นสุดนี้ออกมาด้วนการแสดงภาพที่ไม่มีขอบเขตจำกัดทางพื้นที่แล้ว ยังไม่มีขอบเขตจำกัดทางเวลาอีกด้วย ลักษณะนี้ก็มีปรากฏในกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์เช่นกัน ดังในบทกวีของเดสนอส (Desnos) กวีผู้หนึ่งในกลุ่มเซอเรียลิสม์

“… เมื่อฉันหลับตาลง มวลดอกไม้ก็เบ่งบานและเหี่ยวเฉาไป แล้วผลิขึ้นมาใหม่ราวกับดอกไม้ที่มีเนื้อหนังมังสา ฉันจึงเดินทางไปทั่วประเทศ ที่ไม่รู้จักหลายประเทศ มีพรรคพวกและส่ำสัตว์ทั้งหลายติดตามไป
มีเธอด้วยแน่นอนโอ้จารสตรีคนงามและสงบเสงี่ยม และดวงวิญญาณที่สัมผัสได้เห็นชัดเจนของอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล
ในยามราตรีมีเธอ
ในทิวาวารด้วยเช่นกัน …”
(พูนศรี วงศ์วิทวัส ๒๕๒๙ : ๕๑)

กวีนิพนธ์บทนี้ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างภาพกว้างใหญ่ของธรรมชาติกับอาณาจักรของเวลาที่กวีให้ความสำคัญ และโยงเข้ากับการพรรณนาถึงสาวคนรัก จะเห็นได้ว่าทั้งอังคารและ เดสนอสต่างเห็นความสำพันธ์ระหว่างความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและอาณาจักรของเวลา ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์และสรรพสิ่งในจักรวาล


ดาลี (Dali) ศิลปินเซอเรียลิสม์ผู้หนึ่ง ก็ได้แสดงความคิดนี้ไว้ในภาพชื่อ “ความทรงจำ” (The Persistence of Memory) ภาพนี้แสดงถึงสถานที่เวิ้งว้างมีนาฬิกาสามเรือนวางอยู่ในลักษณะอ่อนปวกเปียก นาฬิกาเรือนหนึ่ง วางคร่อมอยู่บนวัตถุคล้ายใบหน้าด้านข้างของคน นักวิจารณ์ศิลปะท่านหนึ่งได้วิจารณ์ภาพนี้ว่า “ภาพนี้เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกประหลาด แสดงให้เห็นถึงสภาวะของมนุษย์ที่ถูกครอบงำด้วยกาลเวลา” (สมพร ๒๕๒๔ : ๘๓–๘๕)


การแสดงภาพกว้างใหญ่ของธรรมชาติและอาณาจักรของเวลานี้ ได้สะท้อนให้เห็นความคิดของอังคารและกวีเซอเรียลิสม์ว่า มนุษย์ทุกรูปนามย่อมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “เวลา” และความยิ่งใหญ่ของ “ธรรมชาติ”

๔.๓ การแสดงภาพการเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกัน


เป็นที่น่าสังเกตว่า อังคารมักสร้างฉากในกวีนิพนธ์ให้เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจ ด้วยการเสนอภาพที่มีกริยาเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกัน เช่น ในกวีนิพนธ์ชื่อ “ความฝันของเทือกผาหลวง”

“… ท่ามกลางความฝันสีทิพย์ทอเงินยาว มีอสรพิษสีนิลสนิทเหลือบแววน้ำเงินวาวละออง รอบลำตัวงอกใบไม้และดอกขาวหอมบริสุทธิ์ มันเลื้อยซ่อนเร้นมาใต้ละลอกแผ่วเบาของกระแสคลื่นเสียงกำลังขดขนดนิ่งรอคอยจะกัดกินความตาย …”
(กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ๒๕๒๙ : ๑๑๔)


อังคารได้สีแสดงความขัดแย้งเมื่อกล่าวถึง “สีนิลสนิท” ก็น่าจะมองไม่เห็นสีอื่นใดอีก แต่ในที่นี้ อังคารกลับมองเห็นสี “เหลือบแววน้ำเงินวาวละออง” เป็นการสะท้อนสีของโลกธรรมชาติ ที่ต้องอาศัยแววตาอันประณีตในการเพ่งพินิจจึงจะสัมผัสได้ อสรพิษนี้นับเป็นสัตว์ที่น่าอัศจรรย์มา คือ “รอบลำตัวงอกใบไม้และดอกขาวหอมบริสุทธิ์” การ “งอก” น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของการเกิด (ชลธิรา สัตยาวัฒนา ๒๕๑๓) แต่อสรพิษ “กำลังขด ขนด นิ่ง รอคอย จะกัดกิน” ความตาย จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นการเสนอภาพขัดแย้งที่ประสานกลมกลืนกันระหว่างการเกิดกับการตายในเวลาเดียวกัน


การเสนอภาพเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งนี้ ก็มีปรากฏในกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์ด้วยเช่นกัน เราจะเห็นการเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกันไปในหลายทิศทาง จากบทกวีชื่อ “การตื่นแต่เช้าตรู่” (“Le Reveil au petit jour”)

“… หมวกของภรรยาเจ้าของโรงสีลอยไปไกลราวกับติดปีกบิน และนั่นไงมันล่องลอยอยู่เหนือระฆัง กำลังไล่ผลักหมู่ว่าวแห่งรัตติกาล ในขณะที่ดาวดวงอื่นๆ เป็นรูปหัวใจและกรงนก คันไถหัวเป็นรูปนกกระจาบฝน กำลังเพ่งมองหมวกใบนั้นจากยอดหญ้างามเป็นมัน เปลวไฟอันเร่าร้อนลำสุดท้าย พุ่งขึ้นกลางเตียงที่คนเพิ่งลุกขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ในระดับเดียวกับทุกสิ่งที่ขยายออกไปข้างหน้า …”
(พูนศรี วงศ์วิทวัส ๒๕๒๙ : ๑๖๖)

เมื่ออ่านกวีนิพนธ์บทนี้ เราจะจินตนาการเห็นภาพการเคลื่อนไหวที่ขัดแยังกันในหลายๆ ทิศทาง ซึ่งมีทั้งกริยาเคลื่อนไหวและหยุดอยู่กับที่ การเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกันนี้ นับว่าเป็นการเสนอจินตภาพที่น่าอัศจรรย์ใจได้วิธีหนึ่ง

๔.๔ การแสดงภาพที่กวีสัมผัสธรรมชาติ

ชอง อาร์พ (Jean Arp) หนึ่งในผู้นิยมแนวคิดเซอเรียลิสม์ ได้ใช้จินตนาการเชื่อมโยงตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจักรวาล เช่นในตอนหนึ่งของกวีนิพนธ์ชื่อ “วันผลิใบ”


เมฆงอกออกจากมือฉัน
ฉันลูกไล้มัน
แล้วฉันก็นอนหลับ
หลับสบายราวกับอยู่ในไข่
ฉันหลับรอให้ใบไม้งอกออกจากร่าง
(สดชื่น ชัยประสาธน์ ๒๕๓๒ : ๖๔)

อังคารก็ใช้จินตนาการสร้างภาพความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งระหว่างตัวเขากับธรรมชาติด้วยการใช้คำว่า “ดื่ม” หรือ “กิน” ธรรมชาติ ดังบทกวีที่ว่า

ฉันเอาฟ้าห่มให้ หายหนาว
ดึกดื่นกินแสงดาว ต่างข้าว
น้ำค้างพร่างกลางหาว หาดื่ม
ไหลหลั่งกวีไว้เช้า ชั่วฟ้าดินสมัย
(กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ๒๕๒๙ : ๓๒)

หรือ

ร่ำสุราอำมฤตซึ่ง ถึงสวรรค์
ลืมดื่มดาวและจันทร์ ฟากฟ้า
(เรื่องเดียวกัน : ๗๓)

ในลำนำภูกระดึง มีบทประพันธ์จำนวนไม่น้อยที่ผู้แต่งแสดงตนว่า เป็นผู้ใกล้ชิดธรรมชาติยิ่งกว่าใครๆ ด้วยการแสดงจินตภาพที่น่าอัศจรรย์ใจว่า

เหาะเหินเดินหาวเอื้อมเดือนได้ สะดวกสบายทุกแห่งหาวหน
ลูบไล้สายรุ้งขี่ลมบน ข้าซุกซนฝันทุกอย่างไป
(ลำนำภูกระดึง ๒๕๑๖ : ๑๑๒)

อังคารได้ใช้จินตภาพเหล่านี้สร้างความอัศจรรย์ใจและแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด


การเสนอภาพที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ มีปรากฏทั้งในกวีนิพนธ์ของอังคาร และกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์ ซึ่งอาจเป็นความปรารถนาของกวีที่ต้องการเอาชนะหรือมีอำนาจอยู่เหนือธรรมชาติ เมื่อไม่สามารถทำได้ในโลกของความเป็นจริง กวีก็ใช้จินตนาการแสดงภาพขึ้นเพื่อทดแทนความปรารถนานั้นอย่างมีความสุข

๕. มีลักษณะของความหลายนัย (Ambiguity)


ลักษณะความหลายนัยเป็นวิธีการเชขียนที่มีลักษณะคล้ายกันระหว่างกวีนิพนธ์ของอังคาร กับบทกวีเซอเรียลิสม์ ทั้งนี้ความหลายนัยที่ปรากฏในบทกวีของอังคารนั้น อาจเกิดจากสาเหตุประการหนึ่ง คือ การใช้โคลงกระทู้ตามแบบขนบโบราณมาแต่งโคลง เพื่อแสดงความสามารถในการใช้ถ้อยคำให้เหนือไปกว่าการแต่งโคลงแบบธรรมดา เช่น บทกวีชื่อ “จินตนาการ”

ทะ เลหลากท่วมเวิ้ง หนหาว
ลุ่ม ลิ่วจมดาวหนาว แหล่งหล้า
ปุ่ม หินเปื่อยเบาราว ปุยนุ่น
ปู ไต่เมฆข้ามฟ้า เที่ยวเฟ้นกินสวรรค์
(กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ๒๕๒๙ : ๖๐)

โคลงบทนี้แสดงภาพแปรปรวนของธรรมชาติที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ซึ่งเมื่อถอดความแล้วเราไม่อาจแน่ใจในความหมายที่แท้จริงของโคลงบทนี้ได้อย่างแน่ชัด อาจเป็นการพรรณนาจากโลกจินตนาการของกวีที่สอดคล้องกับชื่อบท “จินตนาการ” พร้อมกันนั้นก็เปิดโอกาสให้ผู้อ่านตีความได้อย่างเสรีอีกด้วย
การใช้คำกระทู้ ทะ ลุ่ม ปุ่ม ปู มาเป็นคำกำหนดในการแต่งโคลงนั้น เป็นการท้าทายความสามารถในการใช้ถ้อยคำเป็นสำคัญ จึงทำให้ความหมายของคำและความเป็นรองลงไป และบางครั้งทำให้ผู้อ่านรู้สึกความหมายหลายนัย เช่นเดียวกับการเล่นคำของกวีเซอเรียลิสม์ ซึ่งพึงพอใจมากเมื่อนึกถึงคำพ้องเสียงขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติ เช่น ข้อความที่ว่า


Les fards des joues dejouent les phares


เสียงของคำนามที่เป็นประธานไปพ้องกับเสียงคำกริยาและกรรมโดยบังเอิญ แต่ทำให้มีความหมายน่าประหลาดใจมาก เพราะแปลได้ว่า “สีทาแก้มขัดขวาง (การทำงาน) ของประภาคาร” ซึ่งทำให้ผู้อ่านเกิดความสงสัยในความหมายของข้อความนี้ และก่อให้เกิดการตีความอย่างเสรีขึ้น


ลักษณะของความหลายนัยทั้งในกวีนิพนธ์ของอังคาร และกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์นั้น มีความ


คล้ายกันตรงที่ได้เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ตีความในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างอิสระปราศจากกรอบเกณฑ์และเหตุผลในโลกแห่งความเป็นจริง

ลักษณะที่แตกต่างกัน

ส่วนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างกวีนิพนธ์ของอังคาร และกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์นั้น ได้แก่


๑. วิธีการเขียนแบบอัตโนมัติ


เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มเซอเรียลิสม์ที่เปิดโอกาสให้จิตใต้สำนึกถ่ายทอดออกมา โดยไม่คำนึงถึงอักขระไวยากรณ์ตามหลักภาษา ดังข้อความที่ว่า

“… นักโทษในหยดน้ำ เราเป็นเพียงสัตว์อยู่นิรันดร์ เราวิ่งอยู่ในเมืองโดยไม่มีเสียง และภาพโฆษณาสีสวยสดไม่อาจจะสะดุดใจเราอีกต่อไป ความเบิกบานที่พุ่งขึ้นสูงแต่เหือดแห้งไปแล้ว หรือความกระตือรือร้นอย่างมหาศาลแต่เปราะบางจะมีประโยชน์ เราไม่รู้มากไปกว่าดาวดับแสงเลย …”
(สดชื่น ชัยประสาธน์ ๒๕๓๒ : ๕๒)

ข้อความตอนนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นการทำงานอย่างเป็นอิสระของจิตที่ไม่มีต่อเนื่องปราศจากเหตุผลแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจของกวีและเพื่อนๆ ช่วงที่กลับจากสงครามใหม่ๆ เป็นคนงานที่ใช้ชีวิตอย่างไร้สาระ และเต็มไปด้วยความหดหู่สิ้นหวังอีกด้วย


ลักษณะการพรั่งพรูออกจากจิตใต้สำนึก เช่น บทกวีเซอเรียลิสม์ ไม่ปรากฏในกวีนิพนธ์ของอังคาร ทั้งนี้ เนื่องจากงานกวีนิพนธ์ของอังคารได้แสดงถึงความประณีตบรรจงในการใช้ถ้อยคำ ซึ่งนอกจากจะสื่อความหมายในเนื้อหาที่ลุ่มลึกแล้ว ยังเกิดความไพเราะสละสลวยเป็นเสียงของถ้อยคำนั้นมาเรียงร้อยอีกด้วย ดังที่อังคารได้เปรียบเทียบการรจนากวีนิพนธ์ของเขาในบทชื่อว่า “บันทึก”

แสวงสุนทรีย์ทีละเล็กทีละน้อย ดังผึ้งคอยสะสมน้ำหวาน
ยิ่งสนุกสนานในการงาน สู่กาลจักรอักษรไทย
ถึงอ้อมแก้วแหวนแสนเมืองมิ่ง จะซื้อสิ่งสุดปรารถนาไฉน
ต้องลงทุนวิริยะแรงใจ จึงได้ค่าความหมายชีวา
(กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ๒๕๒๙ : ๑๒๖)

ข้อความดังกล่าวย้ำให้เราเห็นว่า การรจนากวีนิพนธ์ของอังคารนั้น มิใช่การทำตัวให้อยู่ในสภาพรับ “คำสั่ง” หรือทำตัวคล้ายเครื่องจักรที่มีกลไกทำงานโดยอัตโนมัติ แต่เป็นการ “ลงทุนวิริยะแรงใจ” ดุจดังหมู่ผึ้งที่ทำงานหนักเพื่อสะสมน้ำหวาน ผลที่เขาได้รับจากการสั่งสม “สุนทรีย์” นั้น คือ ค่าความหมายของชีวิต ที่เกิดจากการ “บ่มร่ำ” ของกาลเวลา

๒. การเสนอภาพพจน์ที่น่าประหลาดใจและการแสดงความงามที่ผิดมนุษย์


ลักษณะสำคัญนี้ ไม่ปรากฏในกวีนิพนธ์ของอังคาร เนื่องจากกวีนิพนธ์ของอังคารได้รับการสั่งสม และบ่มร่ำจากขนบในวรรณคดีไทยและเป็นผลงานจากการรังสรรค์อย่างวิจิตรบรรจงที่เกิดจากสายตาอันคมกริบของกวี อังคารมิได้ทำให้ผู้อ่านเกิดความตื่นตระหนกในภาพพจน์ (figures of speech) ซึ่งหมายถึงความเปรียบที่เกิดจากการนำคำสองคำที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่กวีนำมาเข้าคู่กันแล้วเกิดเป็นความรู้สึกที่ประหลาดพิสดาร ไม่คาดฝันและยั่วยุความปรารถนาทางเพศ ดังเช่นที่ปรากฏชัดในกวีนิพนธ์เซอเรียลิสม์ เป็นภาพพจน์เกี่ยวกับความรัก และเป็นความเปรียบที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน เช่น

ความรักไม่เคยก้มหัว แต่เชิด
หงอนอำพันและท่องเคลื่อนไว้เสมอ
และเป็น :
เหมือนศพกับผ้าตราสัง
เหมือนม้านั่งกับเขา
เหมือนธารน้ำแข็งกับภูผา
เหมือนโกรกธารกับเหวหุบ
…………………
เหมือนเหลี่ยมกับแก้วเจียระไน
เหมือนลิ้นกับการจูบ
เหมือนดนตรี……………..
(สดชื่น ชัยประสาธน์ ๒๕๓๒ : ๕๙)

หรือในความเปรียบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการชมความงามของหญิงสาวด้วยภาพพจน์ที่น่าประหลาดใจ ในบทกวีชื่อ “เอกภาพอันเสรี” L’union Libre





สาวของฉันมีสะโพกเหมือนเรือเล็ก
มีสะโพกเหมือนโคมระย้าและขนนกที่ปลายลูกศร
เหมือนขนนกยูงสีขาว
เหมือนตาชั่งที่ได้สมดุล
สาวของฉันมีบั้นท้ายเหมือนดินปั้นหม้อและแร่ทนไฟ
สาวของฉันมีบั้นท้ายเหมือนหลังหงส์
สาวของฉันมีบั้นท้ายเหมือนฤดูใบไม้ผลิ
…………………………………
(พูนศรี วงศ์วิทวัส ๒๕๒๙ : ๕)


ภาพเหล่านี้ บางอย่างดูแปลกประหลาดไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าจินตนาการให้ดีแล้วก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ภาพพจน์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยที่กวีไม่ได้ตั้งใจคิดหาสิ่งต่างๆ มาเปรียบเทียบกัน ทำให้ภาพพจน์นี้มีความเข้มข้นรุนแรง ให้อารมณ์กวีและมีชีวิตชีวามากกว่าภาพเปรียบธรรมดา ลักษณะสำคัญเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่า ไม่ปรากฏในกวีนิพนธ์ของอังคารเลย


คำว่าเซอเรียลิสม์ (Surrealism) ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในวงวรรณกรรมไทยนั้นน่าจะใช้ในความหมายตื้นๆ หมายถึงโวหารเกินจริง หรือ อติพจน์ (hyperbole) ซึ่งเป็นความเปรียบที่เน้นความรู้สึกเกินจริง หรือแสดงจินตภาพให้อยู่เหนือความเป็นไปได้ในโลกธรรมชาติ หากแต่เป็นไปได้ในโลกของจินตนาการ ส่วนเซอเรียลิสม์ที่แท้จริงนั้นมุ่งเน้นการแสดงออกจากจิตใต้สำนึกโดยให้ผู้อ่านเห็นภาพนั้นทันที ภาพนี้เกิดขึ้นในสายตาของคนทั่วไป จะประหลาดใจมากด้วยเหตุว่าเป็นคู่เปรียบเทียบแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทว่ากวีเซอเรียลิสม์มีความเห็นว่ามีส่วนที่คล้ายคลึงจนจิตใต้สำนึกนำให้มาเสนอคู่กันได้


จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบกวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์กับลักษณะเซอเรียลิสม์ในกวีฝรั่งเศสครั้งนี้ ทำให้เห็นถึงลักษณะเด่นในกวีนิพนธ์ของอังคารได้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือ นอกจากจะแสดงออกถึงการมองโลกด้วยสายตาที่เฉียบคม มีจินตนาการอย่างลึกซึ้งแล้วยังแสดงถึงสัจธรรมที่แฝงไว้ในธรรมชาติ ได้แก่ การเสียสละของธรรมชาติที่มีต่อมนุษย์ อังคารได้ชี้ให้ผู้อ่านตระหนักถึงความมีเมตตาธรรมของธรรมชาติที่จะเป็นแม่แบบในการดำเนินชีวิตของมนุษย์



[1] ดูรายละเอียดใน ชลธิรา สัตยาวัฒนา, ผจงถ้อยร้อยเรียง (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์กะรัต, ๒๕๓๐)

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เศรษฐศาสตร์กลางทะเลลึก : การต่อรองราคาแห่งชีวิต


หากเอ่ยชื่ออาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์แล้ว นักอ่านทั้งหลายก็คงนึกถึงเรื่องสั้นลือชื่อชุดเหมืองแร่ ซึ่งได้มีโอกาสปรากฏในรูปของภาพยนตร์เมื่อเร็วๆ นี้ ผลงานของอาจินต์ ปัญจพรรค์นับเป็นเรื่องสั้นชั้นครูที่อยู่ในดวงใจของนักเขียนรุ่นหลังหลายคน ดังที่อัญชันเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับหนังสือในดวงใจซึ่งมีมากมาย และหนึ่งในจำนวนนั้นมีเรื่อง “เศรษฐศาสตร์กลางทะเลลึก” ของอาจินต์ ปัญจพรรค์รวมอยู่ด้วย

เรื่องนี้กล่าวถึงชายสองคนรอดชีวิตจากพายุที่พัดเอาเรือใหญ่จมหายลงทะเลด้วยการโดดลงเรือเล็กได้ทันการณ์ คนหนึ่งเป็นกะลาสีเรือที่มีประสบการณ์ทางน้ำมากว่าครึ่งชีวิต ส่วนอีกคนเป็นเศรษฐีใหญ่ที่บังเอิญประสบภัยธรรมชาติครั้งนี้ เมื่อคนทั้งสองต้องมาลงเรือลำเดียวกัน ทั้งสองต่างหาวิธีให้ตนได้ในสิ่งที่ต้องการเพื่อความอยู่รอดของชีวิต ขณะเดียวกันทั้งสองก็ช่วงชิงความเป็นนายทุนผู้ครอบครองสมบัติ ซึ่งจะมีค่ามหาศาลเมื่อขึ้นฝั่ง แต่แล้วทั้งสองก็ไม่อาจเอาชนะชะตากรรมในเรือครั้งนี้ไปได้ แม้กระนั้นสมบัติที่ประดับกายก็ช่วยให้ผู้พบศพเห็นชัยชนะของนายทุนในที่สุด

เนื้อเรื่องข้างต้นน่าสนใจมากตรงที่ผู้เล่าเรื่องมิได้เฉลยอย่างหมดจด แต่ให้ผู้อ่านขบคิดเองว่า ในตอนท้ายเรื่อง ใครกันแน่ที่เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินจนทำให้ผู้พบศพสันนิษฐานว่า คนหนึ่งเป็นพ่อค้าใหญ่ ส่วนอีกคนเป็นคนรับใช้หรือเป็นกุ๊กประจำเรือ ซึ่งก็อาจคิดได้ทั้งสองทางว่า ในที่สุดแล้วกะลาสีเรือก็ไม่ยอมแลกสมบัติกับเศษขนมปังและยอมหิวจนตาย หรืออีกทางหนึ่งก็คือ เศรษฐีนั้นเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะด้วยการแลกเศษขนมปังกับได้สมบัติของตนกลับคืนมาในที่สุด แต่ใครจะได้สมบัติไว้นั้นไม่สำคัญเท่ากับว่าในที่สุดแล้วคนทั้งสองก็ไม่อาจมีชีวิตรอดต่อไป และสมบัติดังกล่าวก็ไม่ได้ช่วยชีวิตแต่อย่างใด ความขัดแย้งที่ทำท่าว่าจะเป็นระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ กลับกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งในท้ายที่สุดมนุษย์ที่เล็กกระจ้อยร่อยก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ธรรมชาติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ผู้เล่าเน้นบรรยายให้เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในด้านกายภาพระหว่างกะลาสีกับเศรษฐี ดังที่ว่า “คนหนึ่งผิวดำคล้ำแดด ร่างกายกำยำเพราะเป็นกะลาสีเรือ ตลอดชีวิตของเขามีแต่กลิ่นเหล้า คาวทะเล และงาน ๆ ๆ ซึ่งหนักอึ้งจนกล้ามเนื้อทุกอณูพองขึ้นมาต้อนรับความตรากตรำเหล่านั้น อีกคนหนึ่งผิวขาวเพราะเคยอยู่แต่ในชายคาตึกและประทุนรถเก๋ง ข้อมือเล็กแต่มากด้วยเนื้อเพราะบริบูรณ์อาหารการกิน มีนาฬิกาและแหวนราคาแพงเท่าค่าอาหารของคนจนเป็นปี ๆ” แต่ความแตกต่างข้างต้นกลับทำให้เห็นความเหมือนของวิธีคิดและการต่อรองระหว่างคนทั้งสองได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือคนทั้งสองเห็นความสำคัญของวัตถุที่มีค่า มีราคา และมีความหมายต่อการเป็นนายทุน เมื่อสังคมยอมรับนับถือสมบัติเหล่านี้ว่าเป็นเครื่องประดับเศรษฐีแล้ว คนที่เคยเป็นก็ยังอยากจะเป็นตลอดไป ส่วนคนที่ไม่เคยเป็นก็ยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้เป็นสักครั้งหนึ่งในชีวิต


ผู้เล่าเรื่องได้ถ่ายทอดบทสนทนาและวิธีคิดของเขาทั้งสองให้เราได้เห็นการต่อรองเพื่อการอยู่รอด ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นเนื้อหาหลักที่วนเวียนอยู่กับสมบัติพัสถานของเศรษฐีกับความสำคัญของขนมปังสองแถว และน้ำดื่มในกระติกเล็กของกะลาสี การเล่าเรื่องของผู้รู้แจ้งด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเสียดสี ทำให้เราตระหนักถึง “สาร” ที่ผู้เขียนสื่อได้อย่างชัดเจน ตัวละครทั้งสองต่างก็งัดกลเม็ดที่จะมาต่อรอง โดยหวังจะครอบครองทรัพย์สินเงินทองซึ่งจะมีค่ามากมายหากได้ขึ้นฝั่ง แต่ถ้าอยู่ในเรือแล้ว ทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้ก็มีค่าเพียงแค่ก้อนขนมปังและหยาดน้ำเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น

การต่อรองระหว่างความเป็นนายทุนกับการดำรงอยู่ของชีวิตนั้น นับเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้เขียนตั้งไว้ในผู้อ่านฉุกใจคิด แม้ว่าเรื่องสั้นนี้จะเขียนไว้นานมากแล้ว(พ.ศ.๒๔๙๗) แต่ยังคงทันสมัย ยิ่งการดำรงอยู่ในสังคมบริโภคนิยมปัจจุบันด้วยแล้ว ผู้คนยิ่งต้องรู้เท่าทันความสำคัญระหว่างวัตถุกับชีวิตให้มาก เพราะเรามักหลงใหลกับสิ่งที่ครอบครองอยู่ หรือเคยครอบครอง จนต้องหาทางไขว่คว้าการครอบครองนั้นให้กลับมาอยู่ในมืออีกครั้งแม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยศักดิศรี ศีลธรรมหรือชีวิตก็ตาม นับเป็นความหลงผิดของมนุษย์โดยแท้