วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550

กากี : เดิมพันในเกมการต่อสู้ของผู้ชาย



กากีเป็นตัวละครเอกหญิงในวรรณคดีไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงชั่วเพราะความใจง่ายและมักมากในกามคุณ นับตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาจวบจนปัจจุบัน เรื่องราวของนางซึ่งมีมาจากชาดกเรื่อง กากาติชาดก และสุสันธีชาดก ก็ได้ถูกนำไปแต่งเป็นคำประพันธ์หลายรูปแบบเช่น กาพย์เห่เรือ กลอนอ่าน บทละคร บทมโหรี เนื้อเพลงไทยสากล และแม้แต่เพลงกล่อมเด็ก อย่างไรก็ตาม สำนวนเรื่องกากีที่ถือกันว่าสร้างเนื้อเรื่องได้ครบสมบูรณ์และใช้โวหารไพเราะที่สุดก็คือ กากีกลอนสุภาพของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งดูเผินๆ ก็มีจุดมุ่งหมายในการแต่งเหมือนสำนวนอื่นๆ คือมุ่งสาธิตให้เห็นความมีใจโลเลของสตรีเพศ ดังคำกล่าวในตอนต้นเรื่องว่า "หวังแสดงแห่งจิตหญิงพาล ให้ชายชาญรู้เชิงกระสัตรี"

ทว่า เมื่อลองพินิจอ่าน กากีกลอนสุภาพ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครต่างๆในเรื่องอย่างละเอียดเราจะพบว่าประเด็นที่โดดเด่นน่าสนใจในวรรณกรรมเรื่องนี้กลับมิใช่พฤติกรรมอันเลวร้ายของสตรี หากแต่เป็นการแข่งขันชิงดีกันในระหว่างบุรุษ โดยนางกากีมีบทบาทเป็นเพียง "เดิมพัน"


เนื้อเรื่องใน กากีกลอนสุภาพ นั้นมีอยู่ว่า เมื่อครั้งอดีตชาติพระโพธิสัตว์มาเสวยพระชาติเป็นพระยาครุฑ พระยาครุฑได้แปลงกายเป็นมานพมาเล่นสกากับพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมืองพาราณสีแล้วลอบลักนางกากีมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตไปร่วมอภิรมย์ ณ วิมานสิมพลีพระเจ้าพรหมทัตเสียพระทัยมากที่นางหายไป จึงได้ให้คนธรรพ์ พี่เลี้ยงไปตามหานาง คนธรรพ์แน่ใจว่าต้นเหตุที่ทำให้นางหายไปคือพระยาครุฑ คนธรรพ์จึงแปลงตัวเป็นไรแอบในขนปีกของพระยาครุฑตามไปจนถึงวิมานสิมพลี และได้ร่วมอภิรมย์กับนาง เมื่อกลับไปยังพาราณสี คนธรรพ์ได้ดีดพิณและขับเพลงมีความนัยถึงนาง ให้บุรุษทั้งสองฟัง และได้รับรางวัลตอบแทน พระยาครุฑกลับไปคาดคั้นกับนางเรื่องคนธรรพ์ แต่นางไม่ยอมรับพระยาครุฑจึงบริภาษอย่างรุนแรงแล้วพานางมาคืนพระเจ้าพรหมทัต เมื่อพระเจ้าพรหมทัตได้พบก็บริภาษและลงโทษนางด้วยการลอยแพ


ในท้องเรื่อง นางกากีแทบมิได้มีบทบาทเป็นผู้กระทำเลย เหตุการณ์สำคัญในเรื่องนั้นเกิดจาการกระทำของตัวละครชายทั้งสิ้น ได้แก่ พระยาครุฑลักนางกากีพระเจ้าพรหมทัตคร่ำครวญถึงนางและใช้ให้คนธรรพ์ไปตามนางคนธรรพ์ตามไปพบนางและได้ร่วมอภิรมย์ - คนธรรพ์เย้ยพระยาครุฑ - พระยาครุฑพานางพานางมาคืนพระเจ้าพรหมทัตลงโทษนาง จะเห็นได้ว่าตลอดเรื่องนางมีบทบาทเป็นผู้ถูกกระทำ(passive)จะว่าไปแล้ว นางกากีเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นตัวแทนของความเลวร้ายตามที่ฝ่ายชายเป็นตัวกำหนด ตั้งแต่ชื่อของนางซึ่งฟังดูไม่ไพเราะเนื่องจากการซ้ำเสียงพยัญชนะจากลำคอประกอบกับรากศัพท์ของคำนี้มีความหมายว่า "อีกา" ซึ่งในขนบของวรรณคดีไทยถือว่าเป็นสัตว์อัปมงคลและมีนิสัยไม่ดี ในเนื้อเรื่องนางกากีเองก็ไม่ปรากฏคุณสมบัติอื่นใดนอกจากการเป็นหญิงงามและมีกลิ่นหอมหวนยวนใจเท่านั้น นางจึงเป็นเพียงวัตถุทางเพศที่คอยรองรับการกระทำต่างๆของละครชาย แต่บทบาทที่ passive นี้เองกลับเป็นปัจจัยที่ทำให้นางถูกตราหน้าว่าชั่วร้ายอันที่จริงพฤติกรรมมากชู้หลายผัวของกากีถูกกำหนดขึ้นจากความจำเป็นด้านการเล่าเรื่องในอันที่จะทำให้ตัวละครชายทั้งหลายได้มาสัมพันธ์กัน หน้าที่ของนางคือเชื่องโยงชายทั้งสามคนให้มาแข่งกันเพื่อที่จะได้สมสู่กับนาง แต่ละคนจะใช้คุณสมบัติต่างๆ กันเพื่อครอบครองนาง พระเจ้าพรหมทัตเป็นเจ้าของนางด้วยอำนาจราชศักดิ์ พระยาครุฑใช้รูปและคารมเกี้ยวพาราสีนางจนได้สมปรารถนา ส่วนคนธรรพ์ก็ใช้เล่ห์กลเป็นเครื่องมือพิชิตนางเป็นคนสุดท้าย ได้หยามทั้งพระยาครุฑและลบหลู่พระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นนายไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าสิ่งที่น่าสนใจควรพิจารณายิ่งเสียกว่าความมากชู้หลายผัวของกากีก็คือ พฤติกรรมของตัวละครชายทั้งสาม ซึ่งอาจจะช่วยให้เราสามารถประเมินบทบาทกากีเสียใหม่


พระยาครุฑผู้ก่อเหตุ


ใน กากีกลอนสุภาพ ตัวละครพระยาครุฑมีสถานะกึ่งเทพกึ่งสัตว์ มีอิทธิฤทธิ์เหนือคนธรรมดาแต่ก็มีสัญชาตญาณของความเป็นสัตว์อยู่ด้วย อาจกล่าวได้ว่าถ้าจะพิจารณาสถานะของตัวละครนี้โดยคำนึงถึงชาดกเรื่องอื่นๆด้วยแล้ว พระยาครุฑก็จัดเป็นตัวละครเอกของเรื่องกล่าวคือเป็นการมาเสวยพระชาติของพระโพธิสัตว์เพื่อสั่งสม "บารมี" แม้ว่าจะไม่ปรากฏชัดว่าเป็นปัญญาบารมี แต่ก็เป็นบารมีที่นำไปสู่ "ความรู้" บางประการพระยาครุฑนั้นเป็นตัวดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากการใช้กำลังพานางกากีไปไว้ที่วิมานสิมพลี ทั้งๆที่รู้ว่ากากีเป็นมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต แต่พระยาครุฑก็มิได้ "เกรง" ด้วยเห็นว่าพระเจ้าพรหมทัตเป็นเพียงมนุษย์เดินดินเท่านั้น และแล้วพระยาครุฑเองที่เป็นผู้พาคนธรรพ์แฝงตัวไปเป็นชู้กับนางกากีทำให้พระยาครุฑเกิดความคั่งแค้นถึงกับรำพันออกมาว่า


เราเสียแก้วกากีศรีสวาท

เพราะประมาทไม่ถนอมเป็นจอมขวัญ

เสียฤทธิ์เพราะไม่คิดจะป้องกัน

คนธรรพ์มันจึ่งแทรกเข้าซ้อนกล

ครั้งนี้เสียรักก็ได้รู้

ถึงเสียชู้ก็ได้เชาวน์ที่เฉาฉงน

เป็นชายหมิ่นชายต้องอายคน

จำจนจำพรากอาลัยลาญ


การสูญเสียของพระยาครุฑ (ซึ่งทั้งเสียฤทธิ์ เสียรัก และเสียชู้) เป็นความสูญเสียที่ปราศจากการชดเชยใดๆเลยหรือหามิได้ สิ่งที่พระยาครุฑได้รับ ตอบแทนกลับมานั้นน่าจะมีค่ายิ่งกว่าสิ่งที่เสียไปอย่างประมาณมิได้ เพราะครั้งนี้ "เสียรักก็ได้รู้ ถึงเสียชู้ก็ได้เชาวน์ที่เฉาฉงน" หากจะอ่านเฉพาะตามท้องเรื่องแล้ว"เชาวน์ที่เฉาฉงน" อาจหมายถึงเพียงคำเฉลยในสิ่งที่พระยาครุฑสงสัยไม่รู้ เกี่ยวกับพฤติกรรมของนางกากี แต่ถ้าอ่านให้ลึกซึ้งไปกว่าเนื้อเรื่องก็น่าจะเข้าใจได้ว่า"เชาวน์" นั้นคือการตระหนักล่วงรู้ถึงธาตุแท้และความเป็นไปของมนุษย์ อันได้แก่ความรวนเรของน้ำใจ และข้อเท็จจริงที่ว่าการแย่งชิงเอาของผู้ใดมาครอบครองย่อมไม่ยั่งยืน จะต้องถูกแย่งชิงไปอีกต่อหนึ่งจนได้ แน่นอนที่ในระดับของการเสวยพระชาติเป็นพระยาครุฑ การเรียนรู้นี้ยังมิได้บรรลุถึงขั้นรู้แจ้งสว่างอย่างปีติ สิ่งที่รู้แม้จะเป็นสัจจะแต่ก็นำมาซึ่งความรู้สึกสลดงงงันแก่ผู้ยังมีจิตใจจำกัดแบบมนุษย์ปุถุชน กระนั้นก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในมิติของชาดกเท่าที่มีอยู่ในนิยายเรื่องนี้นางกากีมีบทบาทเป็นเครื่องมือสาธิตกฏแห่งกรรมแบบพื้นๆได้อย่างเห็นเป็นรูปธรรมทีเดียว


คนธรรพ์ผู้ฉวยโอกาส


ในเรื่อง กากีกลอนสุภาพ นี้ บรรยายว่าคนธรรพ์เป็นยักษ์(ครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูร) มีตำแหน่งเป็นพี่เลี้ยงทำหน้าที่ขับร้องและดีดพิณถวายพระเจ้าพรหมทัต มีนิสัยช่างสังเกตและมีปัญญา จึงสันนิษฐานได้ว่าต้นเหตุที่นางกากีหายไปน่าจะมาจากพระยาครุฑ นอกจากนี้คนธรรพ์ยังเป็นผู้ที่เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เห็นได้จากตอนที่คนธรรพ์รู้ดีว่า จะกล่าวเช่นไรกับพระเจ้าพรหมทัตจึงจะได้รับความดีความชอบ ดังคำกลอนที่ทูลพระเจ้าพรหมทัตว่าเมื่อพระองค์ทรงสกากับมาณพข้าเบือนพักตร์พอพบก็ดาลถวิลเห็นตาชายต่อตายุพาพินข้าคิดกินใจช้ำระกำแทนพอเกิดการโกลาในอากาศเห็นสมมาดนางหายข้าหมายแม่นคนธรรพ์ได้กล่าวด้วยถ้อยคำที่เข้าใจความรู้สึกของพระเจ้าพรหมทัตและทำให้พระองค์เกิดความไว้วางใจในตัวคนธรรพ์จนใช้ให้ไปตามนางกากีกลับมา แต่คนธรรพ์ก็ได้หยามศักดิ์ศรีของพระเจ้าพรหมทัตด้วยการร่วมอภิรมย์กับนางกากีผู้เป็นมเหสีของเจ้าเหนือหัว และใช้นางเป็นเครื่องมือในการดูหมิ่นเชิงชายถึงสองคน เมื่อคนธรรพ์กลับมาทูลต่อพระเจ้าพรหมทัต ก็กล่าวเท็จถึงท่าทีของนางกากีเพื่อปกปิดความผิดของตนเอง คนธรรพ์จึงเป็นตัวละครที่เห็นแก่ตัว และนอกจากจะหมิ่นชายถึงสองคนแล้ว ยังเหยียดหยามสตรีเพศมากที่สุดอีกด้วย ดังที่คิดกับนางกากีว่า"ประเวณีสตรีได้เตร่จิต จำจะคิดเหมือนเอาเสี้ยนมาบ่งหนาม จะเย้ายั่วให้มัวในกลกาม" เมื่อคนธรรพ์สบโอกาสขับเพลงเยาะเย้ยพระยาครุฑ คนธรรพ์ก็ยั่วยุให้พระยาครุฑเกิดความโกรธแค้นด้วยถ้อยคำแสดงความเวทนา


ว่าพลางขับครวญกระบวนพิณ

โอ้กลิ่นกากีพี่หมายมั่น

เสียดายพักตร์รับพักตร์พี่เมียงมัน

(....)

นิจจาเอ๋ยชวดเชยเพราะสองชู้

ถ้าคงคู่ก็ไม่ร้างภิรมย์ขวัญ

เวทนาด้วยพระยาสุบรรณครัน

ขับแล้วอภิวันท์กษัตราฯ


อาจกล่าวได้ว่า ในเกมการต่อสู้ระหว่างชายทั้งสาม คนธรรพ์เป็นผู้ได้รับชัยชนะ เพราะสามารถหยามศักดิ์ศรีชายอีกสองคนได้ เป็นที่น่าสังเกตอีกด้วยว่าโดยฐานะทางสังคมแล้ว คนธรรพ์นับว่าอยู่ในฐานะตกต่ำสุดในบรรดาชายทั้งสาม ดังนั้นจึงเท่ากับว่านางกากีก็มีบทบาทเป็นเครื่องมือให้คนธรรพ์สามารถใช้ไหวพริบและความกล้าหาญ บ่อนเซาะอำนาจของเจ้าเหนือหัว และศักดิ์ศรีของราชอาคันตุกะของพระองค์เพื่อชดเชยความมีสถานะด้อยกว่า อีกทั้งนางยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เขาได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในรูปของรางวัลอีกด้วย


พระเจ้าพรหมทัตผู้สูญเสียทุกสิ่ง


พระเจ้าพรหมทัตเป็นตัวละครที่อยู่ในฐานะสูงสุดในท้องเรื่อง เพราะทรงเป็นถึงเจ้าครองนคร และทรงครอบครองนางกากีซึ่งเป็นมเหสีโดยชอบธรรม แต่แล้วพระองค์ก็ต้องสูญเสียนางผู้เป็นที่รัก เสียมิตร เสียศักดิ์และสิทธิ์ต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และยิ่งกว่านั้นก็เสียเชิงชายให้แก่คนธรรพ์และพระยาครุฑอีกด้วย เมื่อคนธรรพ์กลับมาทูลว่าได้พบนางกากีแล้ว เราจะเห็นได้ชัดว่าพระเจ้าพรหมทัตทรงคั่งแค้นที่ถูกดูหมิ่นเชิงชาย


ด้วยอาลัยในดวงสุดาสวาท

ไปร่วมราชปักษีแล้วมิสา

ยังซ้ำคนธรรพ์อันธพาล์

เสียแรงว่าจงใจให้ไปตาม

ควรฤาคนธรรพ์ประทุษฐ์จิต

ทำลายมิตรให้กลิ้งกลางสนาม

เราไซร้ก็มิใช่ชายทราม

มาทำความบังเหตุให้อัประมาณ


น่าสงสัยว่าเหตุใดการสูญเสียหญิงผู้หนึ่งจึงมีความสำคัญต่อพระเจ้าพรหมทัตมากมายถึงเพียงนี้ คำตอบก็น่าจะเป็นว่าเพราะพระเจ้าพรหมทัตไปผูกติดไว้กับนาง ไม่ว่าจะเป็น ความสุข อำนาจ ศักดิ์ศรี การสูญเสียนางจึงเป็นเหมือนการสูญเสีย "สิ่งเสพย์ติด" อันที่จริง ถ้าพระองค์ยอมยุติเพียงแค่เสียนางไปในครั้งแรก เรื่องราวก็อาจจะไม่บานปลายถึงเพียงนี้ ทว่า พระองค์ปรารถนาได้นางกากีกลับคืนมาเพื่อลบล้างความอับอายและใช้นางเป็นเครื่องมือเสริมเกียรติยศและอำนาจ และด้วยความที่มีไม่ใคร่ครวญให้รอบคอบ พระองค์ได้ใช้ให้คนธรรพ์ไปตามนาง ซึ่งเท่ากับว่าทรงเปิดโอกาสให้คนธรรพ์ได้โจมตี "จุดอ่อน" ของพระองค์ ครั้นพระองค์ได้นางกากีคืนมาแล้ว ก็ทรงเห็นว่านางนั้นเป็นต้นเหตุให้ได้รับความอัปยศ นางจึงควรได้รับโทษอย่างหนักคือลอยแพไป ในที่สุดแล้วพระองค์ก็ไม่ได้สิ่งใดคืนมาแม้แต่ความรู้เท่าทันกิเลส พระเจ้าพรหมทัตจึงเป็นตัวละครที่น่าสมเพชที่สุดทั้งนี้เกิดจากความลุ่มหลงในตัวนางกากีเป็นประการสำคัญนั่นเอง


เมื่อได้พิจารณาถึงความสัมพันธ์เชิงแข่งขันระหว่างชายทั้งสามในเรื่องนี้แล้ว เราก็อาจย้อนกลับมามองบทบาทของนางกากีเสียใหม่ว่า นางเป็นเดิมพันที่มีความสำคัญมิใช่น้อย แต่มิใช่ในฐานะหญิงงามอันเป็นที่หมายปองของหมู่ชายตามท้องเรื่องอีกต่อไป ตรงกันข้าม นางได้เล่นบทเป็นผู้ชี้ "แสงสว่าง" ให้แก่พระยาครุฑผู้มัวเมาอยู่ในอวิชชา นางได้เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้คนธรรพ์อัน ต่ำต้อยได้ "แก้แค้น" ต่อผู้ที่มีศักดิ์เหนือกว่า และในที่สุด นางก็ได้ทำหน้าที่สาธิตให้เห็น "ช่องโหว่" ในอำนาจของผู้ปกครองที่หลงติดอยู่กับกิเลสตัณหา


หากเราตระหนักถึงบทบาทอันแท้จริงของนางกากีดังนี้แล้ว เราจะประณามว่านางเป็นหญิงชั่วช้าอีกหรือ

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

น่าสนใจมากครับ เป็นการตีความสถานะและบทบาทของกากี
ต่างไปจากที่เคยพูดๆ กันมา ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ผมอยากจะแลกเปลี่ยนความเห็นเพิ่มเติม ติดต่อผมได้ที่ chusakp@gmail.com

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ได้ห็นอะไรในอีกมุมมองหนึ่ง